1.1) งานที่เป็นเป้าหมายชีวิต + ใช้ความอดทนมาก (+,+)
งานประเภทนี้มักเป็นงานที่ท้าทายชีวิตเรา เป็นงานที่เป็นความฝัน ความตั้งใจของเรา ที่ชีวิตนึงเราอยากจะทำมันให้สำเร็จ เช่น งานความฝัน งานสร้างธุรกิจ การเป็นผู้เชี่ยวชาญ
.
1.2) งานที่เป็นเป้าหมายชีวิต + ใช้ความอดทนน้อย (+,-)
งานที่จะเป็นองค์ประกอบในการช่วยให้งานประเภทแรกสำเร็จ การศึกษาหาความรู้ การลองผิดลองถูก การทำซ้ำ ๆ แม้เราอาจจะเบื่อมัน เช่น เราอยากเป็นนักเขียนเราก็ต้องลองศึกษาวิธีเขียน ลองเขียนบทความไปเรื่อย ๆ เขียนเสร็จลองนำเสนอ ดูผลตอบรับ จากนั้นนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข และต้องทำซ้ำ ๆ จนกว่าจะเห็นผลสำเร็จ
.
1.3) งานที่ไม่เป็นเป้าหมายชีวิต + ใช้ความอดทนมาก (-,+)
งานประเภทนี้ควรหลีกเลี่ยงทันที ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานที่เราไม่ชอบ ทำแล้วไม่มีความสุข
.
1.4) งานไม่เป็นเป้าหมายชีวิต + ใช้ความอดทนน้อย (-,-)
งานประเภทนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นงานที่เราจำเป็นต้องทำหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีจัดการงานนี้คือ ให้ทำงานเหล่านี้ไปก่อน มีโอกาสปฏิเสธ แล้วค่อยปฏิเสธ
.
ย้ำอีกทีนะครับว่า เรามีความอดทนจำกัด ให้เราเลือกงานที่ ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราเป็นหลัก จากนั้นให้ใช้ความอดทนที่เรามีไปกับงานเหล่านี้ให้มากครับ
.
#ข้อที่ 2 1% ที่ดีขึ้น
บทนี้จะเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองในทีละเล็กละน้อยเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
.
การเปลี่ยนแปลงมักจะไม่เกิดขึ้นเพียงแค่วันเดียว (กรุงโรมไม่ได้สร้างเพียงแค่วันเดียว) หากแต่เป็นการสะสมความก้าวหน้าของการกระทำทีละเล็กละน้อย และที่สำคัญต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
.
ถ้าเราทำ ๆ วันเพียงวันละ 1% เป้าหมายเราจะสำเร็จได้ 100% หรือเพิ่มขึ้นอย่างทวีคณู ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ทำเลย เป้าหมายก็จะยิ่งห่างไกลจากตัวเราออกไปเรื่อย ๆ จนไม่เห็นวี่แววของความสำเร็จ
.
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย อย่างต่อเนื่องและเสม่ำเสมอ ครับ
.
#ข้อที่ 3 สิ่งที่ยาก ๆ ให้สำเร็จ
แบ่งงานยาก ๆ ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และหาจุดสำคัญที่เราควรจะทำให้สำเร็จเป็นอันดับแรกก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ
เมื่องานแรกสำเร็จจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ Domino คือเมื่อเราทำสิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่งานให้สำเร็จ เราจะมีแรงส่งที่สำคัญที่จะส่งไปถึงงานที่เหลือให้สำเร็จ
.
เหมือน Domino ชิ้นเล็ก ๆ แต่สามารถทำให้ Domino ชิ้นที่ใหญ่กว่า ล้มได้ และเมื่อ Domino ตัวหนึ่งล้ม ตัวที่เหลือก็จะล้มตาม อย่างแท้แน่นอน ครับ
.
#ข้อที่ 4 #1 ยิ่งล้มเหลวยิ่งสำเร็จ
#2 ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความสำเร็จ
" ทำไมคุณชู้ตลูกบาสลงห่วงได้ตั้ง 100 ลูก ? "
= เพราะผลชู้ตลูกบาสไม่ลงตั้ง 100 ลูก
ถ้าความสำเร็จของเรามันเกิดขึ้นน้อยครั้ง วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ ทำให้มากขึ้น "
.
ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความสำเร็จ แต่มันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จ ถ้าไม่ล้มเหลวก็ไม่สำเร็จ
.
และที่สำคัญ "ล้มเหลว" แล้วต้อง "เรียนรู้" ล้มแล้วลุกให้ไว ถึงแม้จะมีบาดแผลบ้างก็ตาม แต่มันคุ้มค่ากับความสำเร็จ นะครับ
.
#ข้อที่ 5 ความสุขปัจจุบันสุทธิ
บทนี้เป็นบทที่ผู้เขียนนำมาตั้งเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ครับ
"ความสุขปัจจุบันสุทธิ" มาจาก "เงินปัจจุบันสุทธิ" ที่คิดจากมูลค่าของเงินในปัจจุบันเทียบกับอนาคต(เงินในอนาคตจะมีมูลค่าลดลงเสมอ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในทุก ๆ ปี) บวกลบแล้วเหลือเท่าไร นั้นแหละคือเงินปัจจุบันที่เรามี
.
"ความสุขปัจจุบันสุทธิ" ถ้าเราคำนวณแล้วติดลบแปลว่าเราไม่มีความสุขในสิ่งที่ทำในปัจจุบัน ให้เราลองหาปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดผลลบ โดยจะมีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) ความเหน็ดเหนื่อยในสิ่งที่ทำในปัจจุบัน 2) เพิ่มมูลค่าของความสุขในอนาคต
.
และสิ่งที่ต้องทำคือ
1) ทำให้การฝึกฝนในปัจจุบันให้เป็นสิ่งที่ง่าย หรือมีความทุกข์น้อยที่สุด เช่น ถ้าอยากฝึกกีตาร์ให้เก่งเราก็ต้องเอากีตาร์ มาไว้ใกล้ ๆ มือเรา หรือนำติดตัวไปในทุกที่ที่เราไปอย่างสม่ำเสมอ
2) คิดถึงภาพความสำเร็จมาก ๆ ในอนาคต ให้น่าตื่นเต้น น่าทำให้สำเร็จ
.
เพียงเท่านี้เราก็สามารถทำให้ "ความสุขปัจจุบันสุทธิ" ของเราเป็นบวก ได้แล้วครับ
.
#บทสรุป
บทนี้เป็นบทที่ผมชอบที่สุดครับ
เพราะเป็นบทที่ อ.นพดล (อ.นพดลเป็นคนอื่นอ่านหนังสือเยอะมาก ๆ คนนึง ทั้งหนังสือ ภาษาอังกฤษ 52 เล่มต่อไป และหนังสือภาษาไทยก็ 2-3 เล่ม/สัปดาห์)ได้สะท้อนว่า ถึงอ่านหนังสือมาก ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีสูตรสำเร็จ แต่การที่จะสำเร็จนั้นเราต้องทดลองใช้ ถ้าดีก็ทำต่อไป ถ้าไม่ดีหาทางเลือกใหม่ หรือหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ มาช่วยในการทำงาน ที่สำคัญ ต้องลงมือทำ !!
.
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ คิดเห็นอย่างไรกรุณาคอมเม้นท์ แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ ฝากกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ บทความหน้าจะเป็นอย่างไร ฝากติดตามด้วยนะครับ
.
ครูโด้ เพจ @Sarun's School