7 ม.ค. 2020 เวลา 10:30 • ธุรกิจ
คุณจะเลือกการตลาดแบบไหน “กดดันจนได้มาหรือหาทางออกร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์”
Inward Mindset Vs Outward Mindset
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ได้มีโอกาสสนทนากับน้องคนหนึ่ง ซึ่งบอกกับ “ยุคใหม่การตลาดของไทย” ว่า เขาถูกทวงหนี้วันละหลายรอบ วันหยุดกฎหมายห้ามโทรคนทวงหนี้ก็ยังส่งข้อความมาทวง ซึ่งเขามีเงินพอที่จะจ่ายอยู่แล้วแต่ไม่ชอบใจการตามจี้วันละหลายรอบ เลยจะไปจ่ายในวันสุดท้ายตั้งใจจะให้อึดอัดเฉยๆ แล้วก็เลยคุยกันว่าบริษัทเหล่านี้น่าจะต้องมีหลักสูตรอบรมเรื่อง “ทวงอย่างไรให้ได้รับการชำระหนี้” ไม่ใช่ทวงหนี้ให้เขาไปใช้หนี้ คำคล้ายกันแต่วิธีการต่างกันมาก
อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการต่อรองสินค้าหรือต่อรองธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์ว่า “ทำอย่างไรให้ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้” เช่น การต่อรองสินค้าให้ถูกที่สุด เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด หรือการที่ทำให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ ดูแล้วก็ไม่น่าจะดี
ซึ่งทั้ง 2 กรณีข้องต้นมีความเหมือนกันคือมุ่งไปที่วัตถุประสงค์ โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย โดยเฉพาะความรู้สึกและความสัมพันธ์ระยะยาวที่จะสร้างให้เกิดสิ่งดีๆได้ในอนาคต
“ยุคใหม่การตลาดของไทย” มีกรณีศึกษาจากประสบการณ์ตรงในการทำงานในฝ่ายจัดซื้อของห้างค้างส่งและค้าปลีก ซึ่งหัวหน้าให้นโยบายว่าอย่าปรับราคาทุนง่ายๆเพราะผู้ผลิตมีลูกเล่นขอขึ้นราคาอยู่แล้ว เราต้องแข็งเข้าไว้บีบจนเขาหน้าเขียวจริงๆจึงปรับให้ แน่นอนว่าหัวหน้าสั่งเลี่ยงไม่ได้ ผลก็คือได้ราคาต่ำจริงๆ คู่ค้าส่งของจริงๆ ทำให้ผลงานดีขึ้นจริงๆ แต่ทว่าต้องทำงานเครียดมาก และหลายครั้งที่พบว่าสินค้าส่งไม่ครบแอบยัดใส้ แม้ว่าจะมีแผนกตรวจสอบก็จริง แต่ทำให้เพิ่มงานโดยใช่เหตุ
เมื่อหัวหน้าไม่ให้ทำแต่เราก็มีความเชื่อมั่นว่าวิธีการเราถูกต้องและสร้างผลผลิตได้อย่างยั่งยืน ทำงานไม่เครียดด้วยทั้งเราทั้งผู้ที่ปฏิบัติงานในส่วนอื่นรวมทั้งคู่ค้าด้วย ก็แอบทำในแบบตรงกันข้ามในบางรายที่สนิทก่อน โดยให้คู่ค้าเสนอราคามาแบบที่ทำให้เขาขายได้แบบมีกำไรและกำให้ห้างขายได้ด้วย ที่สำคัญลูกค้าก็ยอมรับราคาที่จำหน่ายด้วย โดยจะไม่มีการต่อรองราคา แล้วก็พบว่าสินค้าในแผนกที่ดูแลเติบโดมากกว่า 80% เทียบจากปีที่ผ่านมา คนทำงานน้อยลงเพราะไม่ต้องคอยตรวจสอบซ้ำ สามารถปล่อยสินค้าผ่านได้เลย ลดขั้นตอนลงได้มาก
แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในวิธีนี้อยู่ดี ยังถูกเรียกไปต่อว่าและตัดคะแนนประเมินจนเหลือเกือบต่ำที่สุด อยู่ในตำแหน่งผู้ที่มีผลการทำงานอันดับรองสุดท้าย (ก็ยังดี) ทั้งที่ผลงานการเติบโตของแผนกที่ดูแลโตสูงสุดต่อเนื่องกันมาหลายเดือน คู่ค้าต่างประเมินให้ความพึงพอใจสูงในการทำงานร่วมกัน ฝ่ายปฏิบัติงานต่างก็สบายใจที่ไม่เพิ่มงาน
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาชอบเราหรือไม่ชอบเราแต่ประการใด เมื่อ “ยุคใหม่การตลาดของไทย” ได้เติบโตทางความคิดเพิ่มขึ้นได้มีโอกาสศึกษาข้อมูลที่เพิ่มเรื่องวิธีคิดเพิ่มขึ้น เพราะนั่นเกิดมาจากแนวความคิดที่ไปกันคนละทางระหว่าง Inward Mindset และ Outward Mindset จึงทำให้ผลตอบสนองจากหัวหน้าไม่พอใจ ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นเรื่องที่แอบทำหรือไม่ หรือผลงานได้หรือไม่อย่างไร
ก่อนที่จะรู้ว่า 2 Mindset นี้ต่างกันอย่างไร มาดูอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในต่างประเทศ ข้อมูลนี้นำมาจาก FB Page: Mission To The Moon ที่นำตัวอย่างจากหนังสือเรื่อง Outward Mindset มาแบ่งปันว่า
มีบริษัทรับทวงหนี้แห่งหนึ่ง ที่ตัวผู้ก่อตั้งเคยถูกตามล่าโดยนักทวงหนี้มา เขาเลยอยากสร้างบริษัทรับทวงหนี้ที่มีแนวคิดใหม่ ตามปรกติถ้าเรานึกถึงบริษัทรับทวงหนี้ เราจะนึกภาพความโหดของคนทวงหนี้ และความอับอาย ความเครียดของลูกหนี้
แต่บริษัทนี้มีแนวคิดว่าที่ลูกหนี้ติดหนี้พวกเขาก็เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่มีเงินมากพอที่จะคืน และการทวงหนี้ที่ทำๆ กันอยู่นี้เป็นแบบ Inward mindset ทั้งสิ้น คือจะข่มขู่คนติดหนี้สารพัดเพื่อให้ได้เงินมา แต่ Outward Mindset ทำให้การทวงหนี้ของบริษัทนี้แตกต่างออกไปครับ เพราะพวกเขาคิดหาทางออกโดยคิดถึงลูกหนี้และสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่
เมื่อคิดแบบนี้บริษัทนี้จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหนี้ ”หาเงิน” ได้ พวกเขาระดมสมองกันและคิดว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือการทำให้พวกเขามีงานทำ
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พนักงานของบริษัทช่วยกันเขียน Resume ให้กับลูกหนี้ของพวกเขา เริ่มมองหาตำแหน่งงาน ช่วยกรอกใบสมัคร ซ้อมสัมภาษณ์งานให้
ระบบการให้รางวัลของบริษัทไม่ได้ให้รางวัลกับหนี้ที่ตามเก็บได้ แต่ดูจากว่าพนักงานแต่ละคนช่วยลูกหนี้ได้มากแค่ไหน แนวคิดดูแปลกมากเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี พบว่าผลประกอบการของบริษัทนี้ ดีกว่าคู่แข่งโดยเฉลี่ยถึง 2 เท่า มันขัดกับความรู้สึกมาก แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
นี่คือการใช้เรื่อง Outward Mindset ที่เป็นการมองโลกตามความเป็นจริง ปฏิบัติต่อคนรอบข้างในแบบที่เห็นเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นการสร้างพฤติกรรมที่มุ่งเน้นในการช่วยเหลือและเน้นประโยชน์เพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งยินดีช่วยเหลือทุกคนอย่างสุดความสามารถ (ที่มา: ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แห่งภูมิภาคอาเซียนเอสอีเอซี (SEAC))
Inward Mindset ที่อดีตหัวหน้าของ “ยุคใหม่การตลาดของไทย” ใช้และคนส่วนมากใช้คือ มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เป็นจริงที่เกิดขึ้น เพียงต้องการไปให้ถึงเป้าหมายของตนอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สนใจเหตุผลความจำเป็นใดๆของผู้อื่นทั้งสิ้น จึงทำให้การปฏิบัติต่อผู้ที่ใช้วิธีแบบ Outward Mindset แบบที่ไม่ยอมรับ เพราะดูว่าไม่ได้ผลและจะสร้างเรื่องการลำเอียงกับคนที่ชอบหรือคนที่ถูกใจได้ รวมแล้วเป็นการไม่ไว้ใจใครนั่นเอง
แต่ที่จริง “ยุคใหม่การตลาดของไทย” ไม่ได้รู้เรื่อง Inward และ Outward Mindset มาก่อนหน้าที่จะเห็นเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยวิธีคิดในตอนนั้นใช้เรื่อง Win/Win หรือทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกันไม่มีใครได้เปรียบใครเป็นหลัก ซึ่งก็มารู้ทีหลังที่หลังจากมีผู้แนะนำให้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า The 7 Habits of Highly Effective People นั่นเอง
การเลือกใช้วิธีการในการทำงานและการดำเนินชีวิต เราจะเลือกใช้อะไรก็ได้ แต่ผลลัพธ์ที่เราต้องการจริงๆต่างหากคือคำตอบที่แท้จริง ลองย้อนกลับมาดูตัวเองในแบบไม่ลำเอียงหรือเข้าข้างตัวเองดูว่า เราใช้วิธีคิดแบบไหนอยู่ แล้วเราอยากได้ผลลัพธ์กับชีวิตแบบไหน
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
สามารถติดตามข้อมูลแนวคิดทางการตลาดยุคใหม่ได้ที่
YouTube Channel: Modernization marketing (ยุคใหม่การตลาดของไทย) ตอนล่าสุด
โฆษณา