7 ม.ค. 2020 เวลา 07:31 • การเมือง
อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับการสั่งใช้กำลังทหาร
- เหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ใช้โดรนโจมตี (Drone Strike) สังหาร พล.ต. Qasem Soleimani ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ (Quds Force) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน (IRGC) เสียชีวิต บริเวณทางเหนือของกรุงแบกแดด เป็นเหตุการณ์ที่ประชาคมโลกให้ความสนใจ เนื่องจากเกรงว่าความขัดแย้งจะลุกลามบานปลายขยายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3
- นอกเหนือจากประเด็นการคาดการณ์ความบานปลายของสถานการณ์ ก็มีการตั้งคำถามถึงอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการสั่งใช้กำลังทหารและอาวุธโจมตีฝ่ายตรงข้ามในดินแดนของประเทศอื่น
ข้อกฏหมายที่ควรทราบ
- รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้อำนาจสภาสหรัฐฯ (Congress) ในการประกาศสงคราม แต่ในห้วงที่ผ่านมามักจะมีการใช้กำลังทหารก่อนการประกาศสงคราม
- ในปี 1973 สภา Congress ได้ประกาศ "War Powers Resolution" เป็นกฏหมาย เพื่อกำหนดขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี (ปธน.) สหรัฐฯ ในการใช้กำลังทหารให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
- War Powers Resolution ให้อำนาจ ปธน.สหรัฐฯ สั่งใช้กำลังทหารได้ตามอำนาจฝ่ายบริหาร (Executive Power) บนเงื่อนไข 3 ประการ
1. ในสภาวะสงคราม "Hostility" เมื่อได้รับอนุมัติจากสภา Congress ทั้ง 2 สภาแล้ว ทั้งสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฏร, House of Representatives) และสภาบน (วุฒิสภา, Senate)
2. ปธน.ฯ สั่งใช้กำลังทหารฯ ได้ในกรณีที่ปรึกษากับสภา Congress แล้ว
3. ปธน.ฯ สั่งใช้กำลังทหารฯ ได้ถ้าสหรัฐฯ ถูกโจมตี
- ในกรณีที่ ปธน.ฯ ไม่ปฏิบัติตาม War Powers Resolution ตามเงื่อนไขดังกล่าว ปธน.ฯ จะต้องสั่งจบภารกิจภายใน 60 วัน นอกจากจะได้รับการอนุมัติจากสภา Congress ในระหว่างนั้น อย่างไรก็ตาม สภา Congress สามารถสั่งให้ ปธน.ฯ ยุติการปฏิบัติการทางทหารเมื่อไรก็ได้
ประเด็นน่าสนใจ
- จากเหตุการณ์ข้างต้น เกิดคำถามว่า ปธน.ฯ ใช้อำนาจอะไรในการสั่งใช้โดรนโจมตีสังหารนายพลอิหร่านในดินแดนอิรัก
- นาย Robert Brien ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ (National Security Advisor, NSA) ยกกรณีเทียบเคียง Congress อนุมัติการใช้กำลังทหารในสงครามอิรักครั้งที่ 2 สมัย ปธน. Bush ภายใต้ "2002 Law" และอยู่ในอำนาจของ ปธน. ภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่สามารถสั่งใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศสหรัฐฯ ได้ (Acts of Self-Defense)
- ขณะที่ นาย Tim Kaine วุฒิสภาพรรคเดโมแครต เสนอ Joint Resolution ให้สมาชิกสภา Congress พิจารณาอนุมัติ โดยเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังทหารภายใน 30 วัน
- Joint Resolution จะมีผลบังคับใช้เมื่อผ่านทั้ง 2 สภา ขณะที่ ปธน.ฯ มีสิทธิ์วีโต้สภาได้
- การจะยับยั้งการวีโต้ของ ปธน.ฯ Congress จะต้องได้รับเสียงสนับสนุน 2/3 จากสมาชิกของทั้ง 2 สภา (สภาผู้แทนราษฏรหรือสภาล่าง มีสมาชิก 500 คน พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก ขณะที่วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน พรรครีพลับบลิกันครองเสียงข้างมาก)
- มีประเด็นคำถามอีกว่า การปลิดชีพนายพลอิหร่าน ถือเป็นการลอบสังหาร "Assasination" หรือไม่ เนื่องจากมีคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order 12333) ตั้งแต่ปี 1981 ห้ามรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิบัติการลอบสังหาร ขณะที่ พล.ต. Soleimani ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งเข้าข่ายเป็นการลอบสังหาร
- นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงว่า การสั่งการดังกล่าวของ ปธน. Trump ผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ภายใต้ Article II ซึ่งระบุไว้ว่าการสั่งใช้กำลังทหารของ ปธน. โดยไม่ได้รับการอนุมัติจาก Congress จะกระทำได้เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ถือว่าเป็น "Imminent Threat" อย่างที่นาย Mike Pompeo กล่าวอ้างว่า พล.ต. Soleimani กำลังวางแผนโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
- การสั่งการฯ ของ ปธน. Trump ยังเสี่ยงต่อความผิดตาม พ.ร.บ. อาชญากรสงคราม (War Crimes Act) อีกด้วย ซึ่งต้องรอกระบวนการตรวจสอบต่อไป
โฆษณา