ปี 1987, สหรัฐอเมริกากำหนดมาตรการ Notice of Airmen (NOTAM) ขึ้นมาบังคับการยืนยันตัวเองในน่านฟ้าบริเวณอ่าวเปอร์เซียไปแก่ทุกประเทศใบแถบนั้น แถมยังมีการตรวจการเข้าออกน่านฟ้าและน่านน้ำอย่างเข้มงวดบริเวณช่องแคบ Hormuz ซึ่งเป็นเหมือนประตูเข้าออกอ่าวเปอร์เซียเลย โดยบังคับไม่ให้อากาศยานและเรือลำใดเข้าใกล้เขตเรือรบเกิน 5 nautical miles และความสูงที่ต่ำกว่า 2,000 ฟุต (ขออนุญาตเรียกว่า "เขตต้องห้าม")
ปี 1988, มีเหตการณ์ที่ทำให้สถานการณ์บานปลายเข้าไปอีกนั่นคือการที่เรือ USS Stark และ USS Samuel ของสหรัฐฯได้ถูกยิงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง ทำให้การจราจรทุกรูปแบบจำเป็นต้องเดินทางเฉพาะบริเวณทีปลอดภัย ในน่านฟ้า-น่านน้ำของตนเอง รวมไปถึงอิหร่านแอร์ เที่ยวบินที่ 655 ที่กำลังนำพาเหล่านักแสวงบุญเดินทางกลับจากเมืองเตหะราน, ประเทศอิหร่านอีกด้วย
ขาแรกของเที่ยวบิน จากกรุงเตหะรานมาลงจอดที่ Bandar Abbas ปกติดี ทำการเติมเชื้อเพลิง และพร้อมออกเดินทางต่อ ณ เวลาท้องถิ่น 10.27 น. เครื่องบินลำดังกล่าวทำการบินขึ้นจากสนามบิน Bandar Abbas ไต่ระดับความสูง 14,000 ฟุต เหนืออ่าวเปอร์เซีย มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางสนามบินดูไบ
เช้าวันเดียวกัน เรือรบติดระบบติดตามขั้นสูง (Aegis Radar) 3 ลำทำการลาดตระเวนอยู่บริเวณช่องแคบ Hormuz ได้แก่ USS Montgomery, USS Sides, และ USS Vincennes
เฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐฯ ในบริเวณเดียวกันสังเกตเห็นเรือเล็กติดอาวุธของอิหร่านจึงทำการแจ้งเรือรบใกล้เคียง, USS Vincennes จึงทำการขยับเรือไปรุกล้ำน่านน้ำโอมานเพื่อเข้าใกล้เรือเล็ก แต่ถูกคำสั่งจากโอมานให้ขยับออก ทว่ายังไม่ลดละความพยายาม อ้อมเข้าน่านน้ำอิหร่านเพื่อติดตามเรือเล็กติดอาวุธ
1. เกิดข้อพิพาทที่รุนแรงระหว่าง 2 ประเทศโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน, Ali Akbar Velayati ขอให้คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประณามสหรัฐฯ ว่าเป็นการโจมตีที่จงใจ (Could not have been a mistake), เป็นอาชญากรรม (Criminal Act), เป็นการสังหารหมู่ (Massacre), และเป็นความโหดร้าย (Atrocity)