9 ม.ค. 2020 เวลา 11:30 • ประวัติศาสตร์
ประวัติหอก Longinus หอกศักดิ์ที่ครั้งหนึ่งเคยทิ่มแทงพระคริสต์
สวัสดีครับ วันนี้ผมเขียนประวัติศาสตร์ของ หอก Longinus หรือหอกศักดิสิทธิ์มาให้อ่านตามสัญญาแล้วครับ
ต้องบอกว่าหอก Longinus นี้เป็นวัตถุศักดิสิทธิ์ที่ผู้อ่านเพจ ย่อยประวัติ รีเควสว่าอยากอ่านเยอะมากสูสีกับ The holy grail (จอกศักดิสิทธิ์) เลยทีเดียวเชียว
เอาล่ะครับก่อนที่เราจะเริ่ม ผมอยากให้ท่านผู้อ่านสูดหายใจลึกๆ เพราะประวัติความเป็นมาของมันนั้นซับซ้อนและบางครั้งก็เต็มไปด้วยความเชื่อมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง มงกุฎหนาม หรือกางเขนตรึงพระคริสต์เสียอีก
.
.
.
คำว่า Longinus จริงๆแล้วคือชื่อทหารโรมันคนหนึ่งที่ถูกสั่งให้เอาหอกไปแทงสีข้างของพระเยซูที่ถูกตรึงบนกางเขน เพื่อเชคดูว่าท่านสิ้นพระชนม์สนิทหรือยัง พระโลหิตหลั่งออกมาเป็นธารน้ำ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ก็เป็นอันว่าท่านสิ้นพระชนม์แล้ว
หลังจากวันที่ใช้กับพระเยซู ประวัติของหอก Longinus ก็ค่อนข้างคลุมเครือด้วยขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะมีก็แต่เรื่องเล่าว่าตัวหอกยังคงวนเวียนอยู่ในเยรูซาเล็ม จนกระทั่ง
เดือนมิถุนายน ปี 1098 ณ เมือง Antioch (เมืองทางใต้ของตุรกีในปัจจุบัน) กองทัพอัศวินที่เดินทางมาจากยุโรปและกำลังจะไปสงครามครูเสดได้แวะมาพักเดินทัพที่นี่ แต่ดันถูกพวกมุสลิมปิดล้อมเมืองไว้ในทันที
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง อาหารก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แถมขวัญและกำลังใจก็ไม่ดี ดูเหมือนว่าจุดจบกำลังคืบคลานเข้ามาอยู่ไม่ไกล
ปรากฎชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ Peter Batholomew ได้นอนหลับฝันว่า St. Andrew มาเข้าฝันตนและชี้ทางไปสู่ที่ซ่อนของหอกศักดิสิทธิ์ พร้อมกำชับว่า "เจ้าจงเร่งขุดหา มันคือทางรอดของอัศวินครูเสด"
1
Batholomew นำเรื่องนี้ไปบอกผบ.ทัพครูเสด Raymond de Toulouse และท่านผบ.ก็สั่งให้เริ่มขุดหาหอก Longinus ทันที Batholomew จึงนำเหล่านักขุดไปยังสถานที่ที่เขาเห็นในฝันก็คือ โบสถ์ St.Peter กลางเมือง Antioch
ปรากฎว่าเจอจริงๆครับ
หอก Longinus ในตำนานยาว 50.7 ซม. ใบมีดคมกริบแถมที่ใบมีดยังมีตะปูที่ถูกตีเข้าเป็นชิ้นเดียวกันกับในมีดติดมาด้วย เชื่อว่านั่นคือตะปูที่ใช้ตอกพระคริสต์ดอกหนึ่ง ยังความปลาบปลื้มและขนลุกมาสู่เหล่าอัศวินเป็นอย่างมาก และไม่นานพวกเขาก็เปิดประตูเมืองออกไปจัดการกับทัพมุสลิมด้านนอกกำแพงได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่าตัวหอกศักดิสิทธิ์นั้นมีความขลังอย่างมากในช่วงศึกสงคราม นอกจากผู้ถือครองจะรู้สึกถึงพละกำลังแล้ว มันยังมอบขวัญและกำลังใจที่ดี แม่ทัพผู้มีมันไว้จะไม่มีวันพ่ายแพ้ในศึกใดๆ และเป็นผู้ที่กุมชะตาของโลกโดยแท้จริง
1
นี่เองเป็นเหตุผลว่าทำไมสุดยอดแม่ทัพทุกยุคทุกสมัยถึงพยายามตามหาและครอบครองหอก Longinus ไม่ว่าจะเป็น Napolean, Hitler หรือนายพล Patton
.
.
2
252 ปีต่อมาในปี 1350 ขณะที่หอกอยู่ในการครอบครองของพระเจ้า Charles ที่ 4 แห่งโรมัน ท่านได้สั่งให้คนนำเอาแผ่นทองมาพันหอกไว้ พร้อมทั้งสลักลงไปว่า "Lancea et clavus Domini" แปลว่า หอกและตะปูของพระเจ้า
หอกและวัตถุศักดิสิทธิ์หลายชิ้นได้ถูกเก็บรวบรวมเป็นคอลเลคชั่นที่ชื่อว่า Reichskleinodien แปลว่าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เหมือนของในหลวง ร.10 ที่เราได้เห็นกัน
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ชุดใหญ่นี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่เมือง Nuremberg ตั้งแต่ปี 1424 จนถึง 1796 เป็นเวลา 372 ปี จนกองทัพปฎิวัติฝรั่งเศสนำโดยนโปเลียนเข้าตีเมือง เจ้าเมือง Nuremberg ได้ส่งหอก Longinus ไปกรุงเวียนนา เพื่อเก็บรักษาให้พ้นมือของนโปเลียนที่ไล่ล่ามันอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นไม่นานนโปเลียนก็พ่ายในศึก Waterloo อันโด่งดังเป็นเหตุให้เขาแพ้สงคราม ทางเมือง Nuremberg เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยแล้วก็ส่งจดหมายไปขอหอกคืนจาก Baron von Hugel ผู้รักษา
2
แต่อย่างว่าครับ ด้วยอำนาจพลังและความขลังของตัวหอก ทำให้ Baron von Hugel หลงในหอกจนถอนตัวไม่ขึ้น และปฎิเสธการส่งคืน Nuremberg อย่างไม่ต้องคิด ทำให้หอกตกอยู่ในการครอบครองของออสเตรียต่อ
.
.
และก็มาถึงยุคของฮิตเลอร์ เด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาบนถนนสายการเมืองของเยอรมันโดยมีความคลั่งไคล้ในหอก Longinus เป็นตัวผลักดัน ในหนังสือ Mein Kampf ชีวประวัติของฮิตเลอร์ ที่เขียนโดยเขาเองตอนหนึ่งยังเคยกล่าวไว้ว่า
1
"หอกศักดิสิทธิ์ตอนนี้พำนักอยู่ในออสเตรีย และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปฎิบัติกับมันราวสิ่งศักดิสิทธิ์"
1
ในที่สุดเมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจในปี 1938 เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Anschluss (อ๊านชลูส) หรือการผนวกรวมออสเตรียเข้ากับเยอรมัน ฮิตเลอร์ผู้มีอำนาจล้นมือในตอนนั้น ได้บัญชาให้กวาดเครื่องราชราชกกุธภัณฑ์ทุกชิ้นกลับไปเยอรมัน และเอามันออกมาโชว์ในงานประชุมพรรคนาซีในปี 1938 อีกด้วย
1
เขาสร้างบังเกอร์อันหนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นกรุของขลังโดยเฉพาะ และเอาของทุกชิ้นมาเก็บที่นี่ บังเกอร์นี้อยู่ใต้ปราสาท Nuremberg บ้านเก่าของพวกมันนั่นเอง
และก็อย่างที่เราทราบกันในประวัติศาสตร์ครับ ความทะเยอทะยานของฮิตเลอร์ทำให้เขาพ่ายสงคราม ทหารฝั่งพันธิมิตรในที่สุดก็บุกมาถึงปราสาท Nuremberg และเช่นเคย กวาดเอาของมีค่าทั้งหมดไปด้วย เรียกได้ว่า กรุแตก เลยครับ
แต่ทว่า พวกนาซีนั้นเอาวัตถุศักดิสิทธิ์ที่สำคัญที่สุดจำนวน 5 ชิ้นไปซ่อนไว้ ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าหน่วย SS, Heinrich Himmler ด้วยหวังว่าสักวันสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะนำนาซีกลับสู่ความยิ่งใหญ่ สร้างความโกรธแค้นให้กับนายพล Patton แม่ทัพฝั่งพันธมิตรเป็นอย่างมาก
2
ท่านนายพล Patton ได้เรียกมือดีมาพบและส่งไปเยอรมันเพื่อทำการสืบสวนทันที ซึ่งก็คือนาย Walter Horn ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ยุคกลาง พร้อมกำชับว่า "ไม่เจอหอก ไม่ต้องกลับมา"
2
Walter Horn ใช้วิธีการทุกรูปแบบในการเค้นความจริงจากเชลยศึกเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็นการคุยดีๆ หรือการทรมาน ทำทุกอย่างจนกระทั่งประสบผลสำเร็จเมื่อเขาได้ข้อมูลบางอย่างจาก Stadtrat Fries สมาชิกสภาของเมือง Nuremberg
Fries สารภาพว่าในคืนวันที่ 31 มีนาคม 1945 (5 เดือนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบ) เขา เพื่อนสมาชิกสภาและนายทหารหน่วย SS รวม 3 คน ได้ย้ายของออกจากบังเกอร์ไปไว้อีกที่หนึ่ง
สถานที่นั้นคือบังเกอร์เล็กๆชื่อ Panier Platz
1
ทั้งหมดลงไปในชั้นใต้ดินที่ลึกถึง 80 ฟุต Fries นำคณะมาหยุดที่กำแพงไม้บานหนึ่ง ทหารอเมริกันไม่รอช้าหวดค้อนเปรี้ยงเข้าหนึ่งที
1
หอกศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงนั้นจริงๆ!
ตื่นตะลึงไปกับความงาม และแสงสะท้อนจากแผ่นทองคำที่หุ้มหอกไว้ ทุกคนยืนนิ่งไม่ได้สติกันอยู่เป็นเวลานาน จนผู้กองต้องออกคำสั่งให้เก็บของทุกชิ้นกลับ
หอก Longinus ถูกส่งกลับไปรวมกับคอลเลคชั่นเครื่องราชราชกกุธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆที่ Nuremberg ก่อน และอเมริกาก็ใจดีส่งของทุกชิ้นกลับไปให้ทางการออสเตรียเก็บรักษาจวบจนปัจจุบันคร้บ
.
.
.
ท่านผู้อ่านเห็นไหมครับว่าสิ่งของต่างๆทางประวัติศาสตร์นั้นมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆเป็นอย่างมาก
ตัวผมเองก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่ได้เห็นเครื่องราชราชกกุธภัณฑ์ของประเทศไทยในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเช่นกันครับ
เช่นเคย คิดเห็นอย่างไรหรือท่านใดมีข้อมูลใหม่ๆเชิญถกกันได้ในคอมเมนท์ ยังมีวัตถุอีกหลายชิ้นเลยที่อยากเขียน เช่น Holy Grail, ผ้าห่อพระศพแห่งตูริน ยังไงก็ฝากติดดาวเพจไว้หน่อยนะครับ!
.
.
.
เกร็ดเล็ก: หลังจากที่ Peter Batholomew ค้นพบหอกศักดิสิทธิ์เขาก็กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน แต่ก็มีคนเริ่มสงสัยในตัวเขามากขึ้นๆ จนกระทั่ง Peter ได้ถูกคนทั่วไปท้าทายว่า ถ้าเรื่องที่ฝันเห็น St.Andrew อะไรนั่นเป็นจริง นายกล้ากระโดดเข้ากองไฟพิสูจน์ความศักดิสิทธิ์ไหมละ?
Peter ทำจริงและถูกไฟคลอกตาย.
1
เกร็ดน้อย: ตำนานเล่าว่า หากผู้ใดได้ครอบครองหอกศักดิสิทธิ์แล้วมีเหตุให้สูญเสียมันไป ผู้นั้นจะถึงแก่ความตายในเวลาไม่นาน เริ่มจากฮิตเลอร์ก่อนเลยที่เสียมันไปในวันที่ 31 มีนาคม 1945 วันที่ 30 เมษายน 1945 เขายิงตัวตายภายในบังเกอร์
1
นายพล Patton ได้ครอบครองหอก Longinus ต่อจากฮิตเลอร์ในช่วงสั้นๆ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 1945, วันที่ 9 ธันวาคม 1945 Patton นั่งรถที่พลขับคนใหม่มาขับให้ ประสบอุบัติเหตุประสานงากับรถภายในค่ายทหารของเขาเอง ด้วยความเร็วแค่ 60 กม/ชั่วโมง Patton คอหักตาย หลังส่งคืนหอก Longinus ให้ออสเตรียไม่นาน
- Xyclopz
ภาพประกอบโดยคุณ Chaiyarid Chowmuangman ครับ
#หอกลองจินุส
โฆษณา