9 ม.ค. 2020 เวลา 18:02 • ปรัชญา
บทที่๑“คนฟังเสียงฝน”
เช้าวันนี้เป็นเช้าที่อากาศไม่สดใสเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา เพราะฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนจนล่วงเลยมาอีกวันหนึ่ง เวลาสิบนาฬิกาของวันใหม่เข้ามาย้ำเตือนพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกที่เป็นสัญญาณบอกว่าให้ตื่นจากห้วงภวังค์แห่งความสุขในโลกแห่งความฝัน โลกแห่งเสรีทางความคิดและจินตนาการ เสียงนาฬิกาปลุกถูกกลบไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาจนอดคิดไม่ได้ว่า “ฝนนี่หรือที่พยามไม่ให้เราตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญกับโลกความเป็นจริงอันแสนวุ่นวาย” ผมพยามปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมานั่งบนเตียง แน่นอนล่ะ หากนอนต่อไปดูเหมือนว่าพลังของสายฝนและพลังของเตียงนอน มันชั่งเป็นพลังวิเศษโดยไม่ต้องปรุงแต่งสิ่งใด แต่สามารถดึงดูดให้มนุษย์อย่างผม ล้มตัวลงไปนอนต่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ผมนั่งอยู่บนเตียงได้พักใหญ่ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นอย่างคุ้นชินจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันทุกครั้งที่ตื่นนอน
นั่งเล่นไปพักใหญ่ มองเวลาล่วงเลยผ่านมาสามสิบนาทีไปกับการกดโทรศัพท์อย่างไร้ประโยชน์บนเตียงนอน ฝนห่าใหญ่ตกลงมาอีกครั้ง แน่นอนครั้งไม่ได้มาเฉพาะฝน ยังคงพัดพาลมพายุและเสียงฟ้าที่ร้องคำรามดั่งนี่คือสัญญาณเตือนว่าฟ้าพิโรธละพร้อมลงโทษมนุษย์ผู้ที่คิดท้าทายและทำลายธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา เสียงฟ้าดังขึ้นเป็นระลอกจนผมต้องวางโทรศัพท์ลงและปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยสัญชาติญาณความกลัวที่ถูกกรอกหูมาตั้งแต่เด็กในยามที่ฝนมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง ทุกอย่างต้องหยุดลง พร้อมกับเสียงตะโกนจากปากคนที่ผมรักและเคารพที่สุดในชีวิตอันได้ชื่อว่าเป็นมารดาของผมเอง ห้วงเวลาแห่งความทรงจำในวัยเยาว์หวนกลับมาเสียงฟ้าร้อง เสียงของผู้เป็นมารดาดังก้องอยู่ในหัว “ปิดทีวีเดี๋ยวนี้นะ ห้ามเล่นโทรศัพท์นะ วางโทรศัพท์เดี๋ยวนี้นะ ปิดคอมรึยัง ฟ้าร้องมาแล้ว เดี่ยวฟ้าก็ผ่าตายเอาหรอก” คำพูดเดิมๆถูกพูดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความห่วงใยที่มาในรูปแบบของการเตือนที่ใช้เสียงแข็งจนหลายครั้งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าอะไรกันแค่ฟ้าร้อง ทำต้องดุด่ากันด้วย แต่ทุกครั้งผมก็ยอมปฏิบัติตามโดยดีเพราะความกลัวต่อเสียงดุด่าหรือเสียงของฝนฟ้าก็ไม่แน่ใจ
ฤดูฝนเป็นฤดูที่ผมเกลียดเหลือเกินในเยาว์วัย เพราะมันเป็นฤดูที่ผมต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อมกับความไร้เดียงสาในวัยเด็กที่มักจะไปยืนตระหง่านหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ฝนทุกครั้งที่ฝนมา อีกทั้งในวันที่ต้องไปเรียนก็ต้องเผชิญกับความลำบากกับการเดินทางไปเรียนอยู่ทุกครั้งไป แม้แต่การจะลุกจากที่นอนมาทำกิจวัตรประจำวันยังยากที่จะพาตัวเองลุกขึ้นจากที่นอน ทุกอย่างในฤดูฝนดูชุ่มช่ำก็จริง แต่ทุกอย่างบนโลกนี้ก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป “ธรรมชาติสวยงามยามฝนมา ธรรมชาติพังลงกับตาพร้อมสายฝนที่พัดพาไป”
เปรี้ยง! เสียงฟ้าดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ราวกับฟ้ามาผ่าตรงใกล้ๆตัว จนทำผมสะดุ้งและกลับมาอยู่กับโลกความเป็นจริงอีกครั้ง ผมพยามดึงสติกลับมาจากการจินตนาการที่หวนคำนึงหาอดีตและความตกใจในเสียงของฟ้า ผมตั้งสติอยู่พักใหญ่ ได้ยินเม็ดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าตกกระทบที่หลังคาและแตกกระจายเป็นละอองอยู่อย่างนั้น ผมตัดสินใจเดินออกไปเปิดประตูเพื่อไปดูฝนที่กำลังตกลงมาดั่งเสียงทอดปลาอยู่ในกระทะ นั่งฟังอยู่พักใหญ่ เพลงท่อนหนึ่งก็ลอยขึ้นมาในหัว
“ยามเมื่อฝนโปรยมาพาชื่นใจ เย็นชื่นกาย ยามฝนพรำ กลางหุบเขาฝนโปรยไพร สายลมจากแดนไกล พัดยอดไม้โอนเอนไหว ใบไม้ปลิดปลิวไป กลิ่นดินหญ้าหอมละไม ละอองฝนที่โปรยปราย สายลมจากแดนไกลนำฝนมา” “ใช่” ผมพูดกับตัวเอง บางทีฤดูฝนไม่ได้เลวร้ายอย่างภาพจำในอดีต ผมสัมผัสได้ถึงความร่มเย็น กลิ่นไอของธรรมชาติที่มาพร้อมกับสายฝนและตกกระทบมายังประสาทสัมผัสของผมให้รับรู้ถึงอารมณ์แห่งการผ่อนคลาย จิตใจล่องลอยไปกับเม็ดฝนที่ตกลงมา สายฝนในยามที่มันไม่ได้มาทักทายมนุษย์ในฤดูร้อนหรือหนาว มนุษย์ก็มักจะเรียกหาเสมอเพราะท้ายที่สุดก็พึ่งพาและต้องการใช้ประโยชน์ ในยามที่มันลงมาทักทายมากจนเกินไป มนุษย์กลับโทษมันที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
แท้จริงแล้วมนุษย์เองหรือเปล่าที่พยามเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแต่ไม่เคยคิดจะรักษาธรรมชาติไว้เลย ผมตัดสินใจก้มลงไปมองจากชั้นสองที่ผมอยู่ มองดูพื้นซีเมนต์ที่เต็มไปด้วยน้ำที่มาจากสายฝน ก็อดย้อนให้นึกถึงภาพอดีตอีกครั้งในวันที่ฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลากมาก จนทำให้สะพานที่ใช้ในการสัญจรไปมาของคนหลายๆหมู่บ้านที่อยู่ละแวกหมู่บ้านผม ณ เวลานั้น ขาดลงเนื่องจากทนกระแสน้ำของป่าไหลหลากที่พัดพาเอาต้นไม้ กิ่งไม้ต่างๆมาชนจนสะพานคอนกรีตค่อยๆพังทลายลง เสาไฟเริ่มหักทีละต้นสองต้น ไฟฟ้าถูกตัดขาดและดับลง ทุกคนกำลังวุ่นวายกับเสาไฟฟ้าที่โค่นลงมาขวางถนนที่ใช้สัญจรแต่กระนั้นถึงแม้จะยกเสาไฟฟ้าขึ้นได้ แต่ทางก็ยังถูกปิดด้วยน้ำป่าที่ไหลทำลายจนสะพานขาดลง แต่ในความโชคร้ายครั้งนั้นก็มีเรื่องน่ายินดี เป็นภาพที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันช่วยกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ฝนเริ่มซาทุกอย่างอยู่ในความมืดมิด มีเพียงเทียนที่แต่ละบ้านจุดเท่านั้นที่ยังคงสว่างไสว แต่ก็มิอาจต้านทานความมืดในคืนเดือนดับได้ แต่มันก็ทำให้ค่ำคืนที่ไร้ซึ่งไฟฟ้าเฉกเช่นทุกวันผ่านไปได้ มนุษย์หนอมนุษย์แม้ในยามที่มืดมิดที่สุดก็ยังคงหาสิ่งต่างๆมาทำให้แสงสว่างจนได้ แล้วเหตุใดกันเล่าเมื่อเกิดความมืดในใจขึ้นมาถึงยอมให้มันครอบงำจนหลายครั้งหลายคราเรายอมแพ้ให้กับปัญหาทั้งที่เรายังไม่คิดที่จะแก้ไขมันเลย ฝนค่อยๆซาลงอีกครั้ง ผมเดินกลับเข้าไปยังห้องดังเดิม มองเวลานี่จะเที่ยงแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเฉกเช่นสายฝนที่ตกลงมาแล้วหายลับไปเสียจริงๆ
เป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วสินะที่ผมใช้เวลาครึ่งวันหมดไปกับการนอนที่ค่อนข้างเปล่าประโยชน์ ในขณะที่เวลาครึ่งวันของบางคนนั้นได้ลงมือกระทำการต่างๆจนสำเร็จดั่งใจที่ตั้งเป้าหมายในแต่วันไปแล้ว แต่ผมยังคงเพ้อฝันในโลกแห่งความฝันยามนอนหลับอยู่ ผมกลับมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง กลับมานั่งคิดถึงเสียงสายฝนที่ตกลงมาและพึ่งหยุดไปเมื่อสักครู่ไม่นานนัก เกิดคำถามขึ้นในใจอีกครั้งสุดท้ายแล้วช่วงชีวิตของมนุษย์ก็คงเป็นเช่นดั่งเม็ดฝนเกิดขึ้นมาและหายจากไปในที่สุด ชีวิตของมนุษย์ที่มีขึ้นลงตามแต่โอกาสและจังหวะของช่วงชีวิต ไม่มีใครยืนตระหง่านฟ้าได้ตลอด วันหนึ่งเขาก็ต้องจากไป ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ฝากไว้เพียงนามให้ได้รับรู้และจดจำเท่านั้น
โฆษณา