15 ม.ค. 2020 เวลา 11:08 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ทำไมดาวหางฮัลเลย์ จึงมีชื่อเสียง ?
ดาวหางฮัลเลย์ เป็นดาวหางที่มีชื่อเสียง
หนังสือเรียนบอกเราว่ามันถูกตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์อังกฤษ เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmond Halley) ซึ่งจะโคจรครบดวงอาทิตย์จนรอบทุกๆ 75-76 ปี แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าทำไมดาวหางดวงนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง และฮัลเลย์ก็ไม่ใช่คนแรกที่พบเห็นดาวหางดวงนี้
การจะเข้าใจความสำคัญของดาวหางดวงนี้ย้อนกลับไปในในยุคโบราณก่อนคริสตกาล ในยุคที่มนุษย์เราสังเกตตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้าจนสามารถระบุความเปลี่ยนแปลงของพวกมันได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำนายการปรากฏขึ้นของมันได้ คือ ดาวหาง (comet)
มนุษย์เราสังเกตเห็นดาวหางมานานแล้ว
บันทึกโบราณต่างๆแสดงให้เห็นว่าดาวหางนั้นเป็นวัตถุท้องฟ้าที่มีลักษณะแปลกไปจากดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นจุดสว่าง เพราะดาวหางนั้นมีหางสว่างยาวออกมาด้วย (คำว่า comet มาจากคำว่า komē ในภาษากรีกที่แปลว่าเส้นผม)
อีกทั้งดาวหางไม่ได้ปรากฏให้เห็นเป็นประจำอย่างดาวเคราะห์ หรือ ดาวฤกษ์ที่เรียงเป็นกลุ่มดาวบนท้องฟ้าให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ
ดาวหางปรากฏขึ้นโดยไม่มีสัญญาณ เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ก็หายไปโดยไม่มีสัญญาณเช่นกัน
ความแปลกประหลาดนี้ทำให้มนุษย์ยุคก่อนเชื่อกันว่าดาวหางเป็นเหมือนลาง(ร้าย) ที่บอกเหตุอะไรบางอย่าง และหวาดกลัวเมื่อมันปรากฏขึ้น
แต่ราว 450 ปีก่อน นักดาราศาสตร์เดนมาร์ค ทีโค บราฮี (Tycho Brahe) ค้นพบความจริงบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับดาวหาง
หลายๆคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อ ทีโค บราฮี แต่จริงๆแล้วเขามีผลงานด้านดาราศาสตร์สำคัญๆอยู่หลายเรื่อง
เรื่องแรกคือ การสังเกตตำแหน่งดาวเคราะห์บนท้องฟ้าอย่างละเอียดเท่าที่เทคโนโลยีสมัยนั้นจะทำได้ เมื่อเขาเสียชีวิตลง ข้อมูลเหล่านั้นตกเป็นของโยฮันเนส เคปเลอร์ ซึ่งเคปเลอร์นำมาวิเคราะห์จนค้นพบกฎเกี่ยวกับดาวเคราะห์สามข้อ
เรื่องที่สองคือ การสังเกตเห็นดาวที่สว่างขึ้นมาในกลุ่มดาวค้างคาวในปี ค.ศ. 1572 และค่อยๆจางหายไปจนมองไม่เห็นในอีกสองปีต่อมา
เขาเรียกมันว่า โนวา (Nova)ที่แปลว่า ใหม่ ซึ่งหมายถึงดาวดวงใหม่ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า*
การศึกษาปรากฏการณ์นี้ทำให้ ทีโค บราฮี ปฏิเสธทฤษฎีเก่าแก่ของอาริสโตเติลที่เชื่อว่าวัตถุท้องฟ้าไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ
Nova ปรากฏในตำแหน่ง I
เรื่องที่สามคือ การสังเกตดาวหางในปี ค.ศ. 1577 ด้วยวิธีที่เรียกว่า diurnal parallax (หมายถึง parallax ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก)
หลักการคือ สังเกตดาวหางดวงในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน การหมุนรอบตัวเองของโลกย่อมทำให้ผู้สังเกตบนโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป ซึ่งจะทำให้สังเกตเห็นดาวหางเปลี่ยนตำแหน่งไปเล็กน้อยเทียบกับกลุ่มดาวที่อยู่ไกลมาก (รายละเอียดการคำนวณจะไม่แสดงไว้ แต่ถ้าใครสนใจบอกครับ จะเล่าให้ฟัง)
diurnal parallax
การระบุตำแหน่งของดาวหางได้นั้นนับว่าสำคัญมาก
เพราะมันเป็นการดึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ให้กลายเป็นสิ่งที่มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจนและจับต้องได้
1
ความเข้าใจที่สำคัญที่สุดเรื่องดาวหางมาจาก นักดาราศาสตร์อังกฤษ เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmond Halley)
หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่าฮัลเลย์มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์มากเพราะหากไม่มีเขา โลกอาจไม่รู้จักเซอร์ ไอแซค นิวตัน!
นิวตันมีบุคลิกเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ชอบการเผยแพร่ผลงานซึ่งเขามองว่าเต็มไปด้วยขั้นตอนยุ่งยาก
เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ เห็นผลการคำนวณวงโคจรด้วยทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตันก็รู้ว่านี่เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ที่โลกต้องได้รับรู้ จึงพยายามโน้มน้าวนิวตันให้ตีพิมพ์เผยแพร่ รวมทั้งออกเงินพิมพ์หนังสือเล่มนี้ให้อีกด้วย
เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmond Halley)
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Principia ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกวันที่ 5 กรกฎาคมปี ค.ศ. 1687 เนื้อหาภายในเป็นเรื่องกลศาสตร์และกฎแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มสำคัญที่สุดเล่มหนึ่งในโลกวิทยาศาสตร์ (ในปี ค.ศ. 2016 หนังสือเล่มนี้ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ถูกประมูลไปด้วยราคา 3.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (133ล้านบาท) นับเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก)
เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความถูกต้องของกฎแรงโน้มถ่วงที่นิวตันค้นพบ
เขาใช้กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันมาคำนวณวงโคจรของดาวหางที่ปรากฏขึ้น 24 ครั้งในอดีต จนพบว่าดาวหางที่ปรากฏในปี ค.ศ. 1531 และ 1607 และดาวหางที่ปรากฏขึ้นในปี ค.ศ. 1682 ซึ่งเขาทำการสังเกตด้วยตนเอง มีลักษณะวงโคจรที่เหมือนกันมาก ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าดาวหางที่ปรากฏขึ้นทั้งสามครั้งเป็นดาวหางดวงเดียวกัน
เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ทำนายอย่างกล้าหาญว่าดาวหางดวงนี้จะปรากฏขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1758 ซึ่งมันก็ปรากฏขึ้นจริงตามที่เขาทำนายไว้ แต่น่าเสียดายที่ฮัลเลย์เสียชีวิตไปแล้วในปี ค.ศ. 1742
วงโคจรของดาวหาง
กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าดาวหางมิใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นวัตถุในธรรมชาติที่โคจรภายใต้แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เฉกเช่นเดียวกับดาวเคราะห์
เพียงแต่มีลักษณะการโคจรที่แตกต่างออกไปเท่านั้น
ความลึกลับของดาวหางหายไป เหลือไว้เพียงความน่าหลงใหลที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ดาวหางดวงนี้จึงถูกขนานนามตามชื่อผู้ที่ค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงของมันว่า ดาวหางฮัลเลย์
ดาวหางฮัลเลย์ปรากฎให้มนุษย์เห็นครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งในปีนั้นยานอวกาศ Giotto ขององค์การอวกาศยุโรป(ESA) เดินทางเข้าใกล้ดาวหางฮัลเลย์ที่ระยะห่างราว 600 กิโลเมตร แล้วเก็บข้อมูลจนพบว่าพื้นผิวของมันมีสีเข้มมาก ซึ่งเป็นเรื่องแปลก
ยานจิออตโต
การศึกษาดาวหางในยุคใหม่นั้นน่าสนใจ และมีหลายทฤษฎีเชื่อว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตบนโลกเราซึ่งจะเล่าให้ฟังในครั้งถัดๆไป
ส่วนครั้งต่อไปที่เราจะได้เห็นดาวหางฮัลเลย์คือปี ค.ศ. 2061
ไว้ตอนนั้นเรามาดูพร้อมๆกันนะครับ ^^
อ้างอิง
-Introduction to Comets
โดย John C. Brandt, Robert D. Chapman
-A History of Physical Theories of Comets, From Aristotle to Whipple
โดย Tofigh Heidarzadeh
-Stellar Explosions: Hydrodynamics and Nucleosynthesis
โดย Jordi Jose
*ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์จัดประเภทสิ่งที่ทีโค บราฮีสังเกตเห็นว่าซูเปอร์โนวา (SN 1572)
โฆษณา