16 ม.ค. 2020 เวลา 03:30 • ธุรกิจ
หลังจากที่ Easy Invest ได้เขียนถึงเหตุผลที่ควรซื้อกองทุนรวมไปก่อนหน้านี้แล้ว
ปัญหาที่ตามมาคือ เราจะเลือกกองทุนอย่างไรให้เหมาะกับความต้องการของเรามากที่สุด ซึ่งกองทุนทั้งหมดก็มีผู้ออกถึง 26 บลจ. รวมแล้วกว่า 1,114 กองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มกราคม 2563 จาก thaimutualfund.com) ในบทความนี้ Easy Invest จะมาแชร์เทคนิคง่ายๆให้ฟังกันครับ
1.ต้องรู้จักตัวเองก่อน
ก่อนที่จะเริ่มลงทุนสิ่งแรกที่ควรรู้คือ ต้องบอกวัตถุประสงค์ของการลงทุนให้ได้ ว่าเงินที่เราเอาไปลงทุนนั้น ลงทุนไปเพื่ออะไร
บางคนอาจจะต้องการกำไรที่มากขึ้น บางคนอาจจะต้องการรายได้ประจำจากเงินปันผล หรือต้องการเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้คือ เราสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับไหน ซึ่งความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้แผนการลงทุนของแต่ละคนต่างกัน
Easy Invest แนะนำให้ลองวัดระดับความเสี่ยงจากลิ้งข้างล่างนี้ได้เลยครับ https://www.set.or.th/education/th/online_classroom/risk.html โดยหลังจากทำแบบทดสอบเสร็จ เราสามารถทราบทันทีเลยว่าความเสี่ยงที่เรารับได้อยู่ในระดับใด อีกทั้งระบบยังจะแนะนำพอร์ตการลงทุนเบื้องต้นให้กับเราอีกด้วย
ภาพจาก www.set.or.th
2.ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตามความเสี่ยงที่รับได้
สาเหตุที่ต้องกระจายการลงทุนเนื่องจากสินทรัพย์ในแต่ละประเภทจะแปรผันไปตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง เงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ดังนั้นถ้าพอร์ตของเรามีทั้งสองสินทรัพย์ ผลตอบแทนในภาพรวมจะไม่ผันผวนมากนัก เรียกได้ว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงกับพอร์ตเรานั้นเอง
ทั้งนี้สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ที่ Easy Invest แนะนำเป็นดังนี้
กลุ่มการลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสม (ข้อมูลจาก Treasurist)
3.นโยบายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ
ก่อนจะเลือกซื้อกองทุน เราควรอ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด เพื่อให้ทราบถึงนโยบายกองทุนว่าจะนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ใดบ้าง
นอกจากนี้นโยบายการลงทุนยังแสดงถึงหลักการในการเลือกสินทรัพย์ของผู้จัดการกองทุน โดยเราสามารถศึกษาจากตรงนี้ได้ว่ากองทุนนี้เหมาะกับเราหรือไม่ เช่นบางกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก แต่เราต้องการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ก็ทำให้เราทราบว่ากองนี้ไม่เหมาะกับเราและต้องหากองอื่นเพิ่มเติม
4.พิจารณาผลตอบแทนในอดีต
แม้เราจะเคยได้ยินบ่อยๆว่า ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกลงทุนโดยพิจารณาจากผลตอบแทนเป็นอันดับแรก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
จุดที่ควรพิจารณาคือกองทุนที่เลือกควรจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าตัวชี้วัด(Benchmark) ซึ่งสามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวน จุดนี้เองเป็นหนึ่งในตัววัด performance ของผู้จัดการกองทุน โดยผู้จัดการที่เก่งควรจะสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าตัวชี้วัดอย่างสม่ำเสมอนั้นเอง
ภาพจาก Wealthmagik
5.ดูความผันผวนในอดีต
การลงทุนนั้นไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความผันผวนได้ ดังนั้นหลายๆคนจึงอยากลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
แต่ใช่ว่าความผันผวนจะไม่ดีเสมอไป เพราะหากกองทุนนั้นมีความผันผวนสูง อาจเป็นไปได้ว่าจะสร้างผลตอบแทนได้สูงตามไปด้วยเช่นกัน
Easy Invest แนะนำให้ดูข้อมูลบื้องต้นใน https://www.wealthmagik.com/ ได้เลยครับ นอกจากผลตอบแทนแล้วยังมีรายละเอียดกองทุน ประวัติการจ่ายเงินปันผล และข้อมูลที่เราควรทราบก่อนการซื้อกองทุนด้วยนะครับ
6.ค่าธรรมเนียมการจัดการ
บลจ.จะทยอยหักค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนในอัตราที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ไม่ว่ากองทุนนั้นจะมีผลการดำเนินงานเป็นกำไรหรือขาดทุนอย่างไร เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นหากปัจจัยอื่นคงที่ กองทุนประเภทเดียวกันที่มีอัตราค่าธรรมเนียมสูงกว่า ย่อมมีความน่าสนใจน้อยกว่า เช่น กองทุนที่ลงทุนใน SET50 แต่ละบลจ.จะลงทุนในสินทรัพย์ตัวเดียวกันอยู่แล้ว ในกรณีนี้จึงต้องเลือกกองทุนจากค่าธรรมเนียมที่ต่ำเป็นหลักนั้นเอง
ภาพจาก SCB
และนี่ก็เป็นเทคนิคเบื้องต้นในการเลือกกองทุนที่ Easy Invest มาเล่าให้ฟังครับ
แต่หลังจากเข้าใจเทคนิคดังกล่าวแล้ว หลายคนอาจจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า กองทุนนั้นมีเป็นพันกว่ากอง ถ้าเรานั่งเลือกทั้งหมดคงไม่ไหว แล้วควรทำอย่างไรดี?
ด้วยเหตุนี้เอง Easy Invest จึงอยากแนะนำเว็บไซต์ที่ช่วยวางแผนในกองทุนง่ายๆ เพียงตอบแบบสอบถามและประเมินความเสี่ยง คุณจะได้รับแผนการลงทุนและกองทุนเด่นทันที โดยสามารถกดได้ตามลิ้งนี้เลยครับ
ปล. Easy Invest ได้ลองใช้งานแล้วพบว่าง่ายจริงๆ จึงแนะนำต่อครับ ไม่ได้ถูกจ้างให้โปรโมทแต่อย่างใด
ถ้าชอบบทความนี้ฝากกด Like กด Share กด Follow กันด้วยนะครับ
โฆษณา