12 ม.ค. 2020 เวลา 12:58 • ปรัชญา
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกสิ่งนี้ผมเคยทำและผ่านมันมาแล้ว เชื่อผมเถอะว่ามันเปล่าประโยชน์ และมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
.
.
.
.
.
.
ถ้ามีใครพูดประโยคนี้กับคุณ
ในขณะที่คุณกำลังเจอปัญหาที่เป็นดั่งกำแพงที่ตั้งตระหง่านสูงใหญ่ ที่ขวางเส้นทางเดินของคุณอยู่
แม้ว่าคุณจะพยายามแล้วมาถึง2ครั้งเพื่อก้าวข้ามผ่านกำแพงนี้แต่คุณก็ยังหาทางเดินต่อไปไม่เจอ
คุณจะทำอย่างไรครับ
จะยอมแพ้หรือหาหนทางเดินไปต่อดี?
สวัสดีครับเพื่อนๆblockditทุกๆคน
วันนี้ผมอยากชวนทุกคนมาคุยเรื่อง
“ความสิ้นหวัง”กันครับ
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์นั้นผมเชื่อว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆคนเคยพบกับความสิ้นหวัง
ที่เข้ามาทดสอบเราในทุกๆย่างก้าวของชีวิต
และเราแต่ละคนก็มีการรับมือกับมันที่แตกต่างกัน
และสุดท้ายในหลายๆครั้งเรายอมแพ้และเดินจากไปบนเส้นทางความเชื่อของเรา
แต่ในหลายๆครั้งเราอาจจะลืมตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้เพราะหลายๆครั้งที่ความสิ้นหวังผ่านเข้ามาเราจะรู้สึกเศร้าและได้แต่เสียใจกับโชคชะตาที่ไม่เคยเข้าข้างเราเสียเลยและเลือกที่จะเดินหน้าหนีไปเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสู้ต่อ
ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอถือโอกาสในการที่จะชวนทุกคนมาเรียนรู้และมาทำความรู้จักกับความสิ้นหวัง ดีไหมครับ เพื่อที่เราจะได้มีวิธีการรับมือที่ดีขึ้นกับสิ่งนี้
“ความสิ้นหวังของสุนัขสองตัว”
ในปี 1964 นักศึกษาปีแรกของหลักสูตรปริญญาเอกด้านจิตวิทยาสองคนที่ชื่อมาร์ตี้ เซลิกแมน และสตีฟ ไมเออร์ อยู่ในห้องทดลองที่ไร้หน้าต่างแห่งหนึ่ง และกำลังเฝ้าดูสุนัขตัวหนึ่งในกรง สุนัขกำลังถูกไฟฟ้าดูดที่อุ้งเท้าหลัง โดยกระแสไฟฟ้าถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีแบบแผนและไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า หากสุนัขไม่ทำอะไรเลย มันจะถูกไฟฟ้าดูดเป็นเวลา 5 วินาที แต่หากสุนัขเอาจมูกดุนแผงที่อยู่ตรงหน้ากรงกระแสไฟฟ้าจะถูกตัดเร็วขึ้น
ส่วนอีกกรงหนึ่ง สุนัขอีกตัวจะถูกไฟฟ้าดูดเป็นจังหวะเดียวกับสุนัขตัวแรก แต่กรงนั้นไม่มีแผงให้สุนัขเอาจมูกดุน พูดอีกอย่างคือ สุนัขทั้งสองตัวจะได้รับกระแสไฟปริมาณเท่ากันในเวลาเดียวกัน แต่มีเพียงสุนัขตัวแรกเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ว่าจะถูกไฟดูดเป็นเวลานานเท่าไหร่ หลังจากที่ถูกไฟดูดไป 64 ครั้ง สุนัขทั้งสองตัวจะถูกย้ายกลับไปอยู่ในกรงเลี้ยง และสุนัขคู่ใหม่จะถูกนำมาทดลองแทน
วันต่อมาสุนัขทั้งหมดจะถูกนำไปไว้ในกรงทดลองกรงละตัว โดยตรงกลางมีกำแพงเตี้ยๆกั้นอยู่ ซึ่งเตี้ยพอที่สุนัขจะสามารถกระโดดข้ามได้หากต้องการ
นอกจากนี้ครั้งนี้ยังมีสัญญาณแหลมสูงเตือนก่อนที่กระแสไฟฟ้าจะถูกปล่อยออกมาจากพื้นกรงฝั่งที่สุนัขยืนอยู่อีกด้วย สุนัขเกือบทุกตัวที่เคยควบคุมไฟดูดได้ในวันก่อนหน้านั้นเรียนรู้ที่จะกระโดดข้ามกำแพง เมื่อได้ยินสัญญาณเตือน พวกมันจะกระโดดข้ามกำแพงไปสู่ฝั่งที่ปลอดภัย ในทางกลับกัน สองในสามของสุนัขในกลุ่มที่ไม่สามารถควบคุมไฟดูดได้ในวันก่อนหน้านั้นจะนอนลงแล้วครางในขณะที่รอให้การลงโทษดังกล่าวจบลง
การทดลองข้างต้นแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า “ความสิ้นหวังไม่ได้เกิดจากความทุกข์ทรมาน แต่เกิดจากความทุกข์ทรมานที่คุณคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจควบคุมต่างหาก”
ดังนั้นความสิ้นหวังของเราก็อาจจะเกิดมาจากการที่เราไม่มีความสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์บางอย่างได้ในชีวิต และนำพาความรู้สึกของเราให้วนอยู่กับความรู้สึกทุกข์ทนอยู่กับเรื่องเดิมซ้ำๆจนไม่สามารถที่จะคิดหาทางออก
แล้วอำนาจที่เราไม่สามารถควบคุมได้มันมีอยู่จริงหรือเปล่าครับ?
และกำแพงนั้นมันมีอยู่จริงหรือไม่?
ผมไม่อยากบอกให้ทุกคนเชื่อครับ
แต่อยากชวนให้ลองสังเกตุและลองพิจารณาว่า
แท้จริงแล้วสิ่งที่คุณกลัวและทำให้คุณเจ็บปวดนั้นคุณสามารถเผชิญหน้ากับมันและข้ามผ่านเรื่องนั้นได้หรือไม่
สิ่งที่คุณคิดมันอาจเป็นแค่รั้วเตี้ยๆที่กั้นระหว่างความสำเร็จกับการอยู่ที่เดิมและยอมจำนนกับโชคชะตาก็ได้จริงไหมครับ
สุดท้ายนี้ถ้าวันนี้คุณรู้สึกถึงความสิ้นหวังและไม่สามารถก้าวผ่านเรื่องนั้นไปได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าเรานั้นอ่อนแอครับ
แต่ทุกคนไม่ว่าจะใครก็ตามอาจจะเจอกับความสิ้นหวังแบบนี้ได้เช่นกัน
เพราะบนดาวเคราะห์ดวงนี้”ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ”
ไม่สมบูรณ์แบบพอที่จะเข้าใจในทันทีว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับปัญหานี้
หายใจเข้าลึกๆหลับตาและค่อยๆทำความเข้าใจมันทีละส่วน
และผมเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราก้าวข้ามผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ก็คือความรัก ความเข้าใจ จากคนรอบข้าง และสติในการใช้ชีวิตครับ
“ปล่อยมันให้ล้มบ้างก็ได้ ปล่อยมันให้แพ้บ้างก็ได้
ก็แค่หกล้มแล้วลุกขึ้นยืนใหม่ แพ้ก็แค่ต้องเข้าใจ”
เพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
หวังว่าจะมีประโยชน์ครับ
ขอขอบคุณแรงบัลดาลใจดีดีจาก
หนังสือ”ร่างกายรู้คำตอบ”
เพลง”ล้มบ้างก็ได้-บอยโกสิยพงษ์”
โฆษณา