15 ม.ค. 2020 เวลา 23:00 • ถ่ายภาพ
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แบบนี้คืออะไร มันดียังไง แตกต่างกันอย่างไร ทำไมช่างภาพมืออาชีพถึงนิยมใช้กัน ?
ภาพถ่ายทั่วไปที่เราเห็นกันอยู่ในโทรศัพท์มือถือ หรือ ในคอมพิวเตอร์ก็ดี 80% เป็นไฟล์ JPEG ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นไฟล์นามสกุลอื่น ๆ ซึ่งรู้หรือไม่ว่า การถ่ายภาพเพื่อเอาไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ เราคงรต้องเลือกถ่ายออกมาให้ใช้นามสกุลของไฟล์ที่ถูกต้องด้วย
สำหรับเพื่อน ๆ มือใหม่หัดถ่ายภาพ ควรจะต้องรู้จักนามสกุลของไฟล์ภาพที่ใช้กันบ่อย ๆ คือ ไฟล์ JPEG และ ไฟล์ RAW
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
เรามาพูดถึงไฟล์ภาพ Jpeg กันก่อนดีกว่า เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ใกล้ตัวเห็นง่าย ๆ ได้ทั่วไป เจ้าภาพ Jpeg คือ ไฟล์ภาพที่ถูกบีบอัดข้อมูลลงไปให้มีขนาดเล็กแต่ยังมีการให้รายละเอียดข้อมูลภาพที่ยังคมชัดใช้งานได้
โดยขนาดของไฟล์ภาพแบบ Jpeg จะเล็กหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับสีสันในภาพถ่าย รายละเอียดของสิ่งที่เราไปถ่าย และ การตั้งค่าของกล้อง
โดยทั่วไปแล้วไฟล์ Jpeg จะถูกใช้ในสื่อออนไลน์ โซเชัยลมีเดียร์ เว็ปไซต์ เพราะ ขนาดไฟล์ทีีเล็ก จึงเหมาะกับการส่งต่อระหว่างกัน
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
ด้วยข้อดีในเรื่องขนาดไฟล์ที่บอกไป แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ตรงที่ หากคุณต้องการเอาภาพมาตกแต่ง ขยาย หรือ ย่อไฟล์ ตัวไฟล์ Jpeg จะเกิดการสูญเสียรายละเอียดข้อภาพไป เนื่องจากมันได้ทำการบีบอีดมาแล้วนั่นเอง
ถ้าเป็นการเอาภาพไปแต่งต่อ ก็จะเกิดอาการภาพช้ำ สีเพี้ยน เป็นต้น เกิดจากสาเหตุที่ไฟล์ Jpeg จะมีการไล่โทนของสีเพียงแค่ 8bit เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากไฟล์ Raw ที่สามารถไล่โทนสีได้ถึง 12 bit และ 14 bit
อะไรคือ 8 bit 12 bit 14 bit เอาให้เห็นภาพง่าย ลองดูรูปนี้นะครับ
ถ้าเป็นไฟล์ 8bit จะมีขอบเขตการแสดงผลของเฉดสีได้ประมาณหนึ่ง แต่พอเป็น 12bit และ 14bit จะมีขอบเขตที่กว้างขึ้น ทำให้เวลาแต่ภาพ เราปรับจูนสี แสงต่างๆ ทำได้ยืดหยุ่นกว่าและสีจะไม่เพี้ยน ภาพไม่ช้ำนั่นเอง
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
รู้จัก Jpeg กันไปแล้วมารู้จักไฟล์อีกประเภทกันบ้างดีกว่า ไฟล์นี้เรียกว่าไฟล์ Raw ไฟล์ประเภทนี้เป็นการไฟล์ภาพที่ถูกถ่ายมา โดยตัวกล้องจะเก็บข้อมูลค่าแสง สี ต่าง ๆ โดยไม่มีการเติมแต่ง บีบอัดใด ๆ เลย จึงทำให้ไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่มาก และ ไม่สามารถส่งต่อระหว่างกันได้ แต่มันก็มีข้อดีตรงที่ว่าเราจะได้ไฟล์ภาพที่ยืดหยุ่นปรับแต่งได้ดี จะปรับแสง หรือ เปลี่ยนโทนสีภาพก็สามารถทำได้
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
โดยไฟล์ประเภท Raw ส่วนใหญ่ช่างภาพจะใช้ไฟล์นี้เป็นหลัก เพราะสามารถเอามาแก้ไขต่อได้ทีหลัง แล้วค่อยทำการ Export ออกมาเป็นไฟล์ Jpeg อีกที
ในปัจจุบันกล้องถ่ายภาพ และ กล้องมือถือ ก็สามารถถ่ายไฟล์ Raw ได้แล้ว
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วทุกคนอาจจะเข้าใจว่าไฟล์ Raw คือไฟล์ภาพเหมือน Jpeg แต่จริงๆ แล้ว ไฟล์ Raw ไม่ใช่ไฟล์ภาพแต่คือข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นเมื่อแสงมากระทบกับเซนเซอร์รับภาพ และ ไฟล์ Raw นี้ไม่สามารถเปิดดูได้หาไม่มีโปรแกรมเปิดไฟล์ประเภทนี้โดยเฉพาะ
ตัวอย่างโปรแกรมที่สามารถเปิดไฟล์นี้ได้ ก็จะเป็นพวก Adobe Camera Raw , Lightroom เป็นต้น
ตัวอย่างสกุลไฟล์ RAW ของค่ายกล้องต่างๆจะไม่เหมือนกัน
Nikon ใช้ .NEF
Canon ใช้ .CR3
Sony ใช้ .ARW
Olympus ใช้ .ORF
Pentax ใช้ .PEF
Fujifilm ใช้ .RAF
Panasonic ใช้ .RW2
RAW VS Jpeg ไฟล์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงนิยมใช้กัน ?
ถ้าหากไม่มีโปรแกรมเปิด ผลที่ได้ก็จะเห็นภาพในคอมเป็นแบบนี้เลยครับ รู้จักไฟล์ทั้ง 2 ประเภทแล้วควรเลือกใช้เหมาะก้บสถานการณ์นะครับ
หากเพื่อน ๆ ต้องการความรวดเร็ว สื่อสารง่าย ไม่ต้องการคุณภาพของภาพที่สูงระดับมืออาชีพ Jpeg ตอบโจทย์แล้วครับ แต่ถ้าหากเป็นการถ่ายภาพที่ค่อนข้างซีเรียสหน่อยต้องเอากลับมาปรับแต่งจะดียิ่งขึ่น หรือ อยู่ในสถานการณ์ที่แสงซับซ้อน มีการสะท้อนแสงหลากสีสีสัน อาจทำให้ภาพเกิดสีเพี้ยนได้ แนะนำให้ถ่ายไฟล์ Raw ควบคู่กันมาด้วยก็ดีครับ
หากเพื่อน ๆ มีคำถามสงสัยตรงไหนทิ้งคอมเมนต์ถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ ผมจะเข้ามาตอบให้แน่นอนครับ
ถ้าหากบทความนี้พอจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ฝากกดแชร์และติดตามเป็นกำลังให้พวกเราด้วยนะครับ
แล้วเรื่องกล้องและการถ่ายภาพจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป " Camera So Easy เรื่องกล้องเรื่องง่าย "
โฆษณา