15 ม.ค. 2020 เวลา 12:44 • ธุรกิจ
ขบวนพาเหรดที่เปลี่ยนชีวิต Disney ไปตลอดกาล
ถ้าวันนี้เราถามถึงบริษัทผลิต entertaining content ที่ดังที่สุดในโลก
ผมว่า 1 ในนั้นจะต้องมีบริษัท Disney
ไม่ว่า Disney จะผลิต content อะไรออกมา
ไม่ว่าคะแนนเสียงวิจารณ์จะดีหรือไม่ดีแค่ไหน
แต่รายได้มักจะดีและออกมาดังเสมอ
ไล่มาตั้งแต่ Frozen, Iron Man รวมทั้ง the Avengers
มาจนถึง Star Wars
ต่างก็ทำรายได้หลัก"พันล้าน"เหรียญทั้งนั้น
(ภาพยนต์ทีทำรายได้พันล้านเหรียญมีประมาณ 50 เรื่อง และกว่าครึ่งเป็นของ Disney)
ภาพยนต์ทำรายได้ top 20 ของโลก มากกว่าครึ่งเป็นของ Disney
แต่ใครเลยจะรู้ว่าช่วงนึง Disney เคยผ่านช่วงเวลาย่ำแย่มาแล้ว
นั่นคือช่วงเวลาราวๆก่อนปี 2005 นั่นเอง
ช่วงเวลานั้นราคาหุ้นของ Disney อยู่ที่ราวๆ 20-30 USD มาเกือบๆ 10 ปี
ช่วงเวลาที่ว่านั่นคือช่วงเวลาก่อนที่ Bob Iger CEO คนปัจจุบันของ Disney จะเข้ามารับตำแหน่ง
โฉมหน้าของ Bob Iger CEO คนปัจจุบันของ Disney
ชื่อ Bob Iger อาจจะไม่คุ้นหูคนไทยขนาด CEO คนอื่นๆอย่าง Zuckerberg, Jeff Bezos, Bill Gates(จริงๆป๋าบิลไม่ได้เป็น CEO แล้วนะ) หรือ Elon Musk
แต่ Robert Iger(คนชื่อ Robert จะมีชื่อเล่นว่า Bob เสมอ)
ถูกจัดให้เป็น Businessperson of the Year จากการจัดอันดับของนิตยสาร Time ในปี 2019 นี้
และเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการ Hollywood จากนิตยสาร the Hollywood Reporter 3 ปีซ้อน
ดังนั้น Robert Iger คนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
หลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Disney ในปี 2005
สิ่งที่เค้านำไปเสนอให้บอร์ดบริหารดูคือรูปขบวนพาเหรดใน Disneyland ครับ
Bob พรีเซนต์บอร์ดโดยให้ดูรูปขบวนพาเหรด
Bob บอกกับบอร์ดบริหารว่า
ขบวนพาเหรดนี้มีตัวละครอมตะของ Dinsey เยอะเลย
ทั้ง Snow White, Cinderella, Peter Pan และตัวละครดังในช่วงแรกๆของ CEO คนก่อน
เช่น the Little Mermaid, Beauty and the Beast, Aladdin และ the Lion King
แต่ก็ยังมีตัวละครจาก Pixar อย่าง Toy Story, Monster,Inc และ Finding Nemo ด้วย
(ตอนนั้นตัวละครของ Pixar อยู่ในขบวนพาเหรดของ Disney ได้
เพราะมีสัญญากับทาง Disney แต่ยังไม่ได้เป็นของ Disney ครับ)
พาเหรดที่ไม่ได้มีแต่ตัวละครของ Disney เท่านั้น
Bob ถามกับบอร์ดว่า
คุณสังเกตเห็นอะไรในรูปขบวนพาเหรดนี้ไหม ???
ทุกคนนั่งเงียบ
Bob เลยเฉลยว่า
ในขบวนพาเหรดนี้
แทบไม่มีตัวละครจาก Disney "ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเลย !!!"
ไม่ว่าจะเป็นคนค่อมแห่ง Notre Dame, Hercules, Mulan, Tarzan, Fantasia 2000, Dinosaur, the Emperor's New Groove, Atlantis, Lilo&Stitch, Treasure Planet ฯลฯ
ต่างก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
แม้บางเรื่องจะประสบความสำเร็จในแง่ตัวสินค้า
แต่อีกหลายๆเรื่องคือหายนะเลยทีเดียว
นี่แปลว่า Disney กำลังกิน "บุญเก่า" มานานแล้ว
และไม่รู้ว่าบุญเก่านี้จะหมดไปเมื่อไหร่
การ์ตูนของ Disney ที่เราต้องถามว่า "อิหยังวะ ???"
วิธีแก้ปัญหาที่ Bob เสนอบอร์ดตอนนั้นคือ
เราจะต้องซื้อบริษัท Pixar
บอร์ดตอบกลับมาว่า
พวกเราไม่คิดว่า Pixar จะขายบริษัท
และถ้าขาย
ก็น่าจะเป็นราคาที่แพงทีเดียว
มูลค่าของ Pixar มันมากกว่า 6,000 ล้านเหรียญอีกนะ Bob
(ในตอนนั้น Disney มีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านเหรียญ ซึ่งราคาของ Pixar ตอนนั้นคือราคาที่แพงมากสำหรับ Disney ที่ก็ไม่ค่อยจะดีนัก)
นอกจากนี้เจ้าของ Pixar ในตอนนั้นไม่ค่อยจะถูกกับ Disney
ซึ่งเจ้าของ Pixar คนที่ว่านั้นคือ Steve Jobs นั่นเอง
และ Steve Jobs ก็ถือหุ้น Pixar อยู่ราวๆครึ่งนึง
บริษัทของผมไง จะใครล่ะ !!!
แต่ Bob ยังบอกต่อว่า
แต่นั่นจะทำให้เราได้ John Lasseter กับ Ed Catmull มานะครับ
(2 คนนี้เป็นเหมือนมือซ้ายและมือขวาของ Steve Jobs ที่คอยผลักดัน Pixar)
พวกเขาสามารถทำให้ Pixar เดินหน้าต่อไปได้และคืนชีพให้ Animation ของ Disney ด้วย
John(คนซ้าย) และ Ed(คนขวา) บุคลากรที่ Bob อยากได้จนต้อง"ซื้อ" Pixar
"แล้วทำไมเราไม่จ้างเค้าแค่ 2 คนมาล่ะ"
บอร์ดถาม
Bob ตอบว่า
"พวกเค้าซื้อไม่ได้ด้วยเงิน"
สุดท้ายบอร์ดก็ยอมเห็นด้วยและให้ Bob เจรจาขอซื้อ Pixar
แต่ก็ให้ทำโดยระมัดระวัง
3 เทพของ Pixar Ed Steve และ John
หลังจากปีเข้ารับตำแหน่งในปี 2005
อีก 1 ปีต่อมาคือปี 2006
Disney ก็ซื้อ Pixar เป็นมูลค่า 7,400 ล้านเหรียญ
แพงแบบที่บอร์ดบริหารพูดไว้จริงๆ
ที่สำคัญคือ deal นี้เป็นการ swap หรือแลกหุ้นล้วนๆ
ไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาท
นั่นทำให้ Steve Jobs กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Disney ในเวลานั้นทันที
แม้ว่า deal นั้นจะดูเหมือนแพงมาก
แต่ด้วยฝีมือของ John และ Ed ที่ Bob บอกว่าเป็นเหมือนมือขวาและซ้ายของ Steve Jobs
ก็ได้รังสรรค์ master piece อย่าง Frozen
การ์ตูนของ Disney ที่หายไปหลายปีกลับมาผงาดอีกครั้งด้วยฝีมือของ Ed และ John
และเรื่องราวต่อจากภาพขบวนพาหรดครั้งนั้นคือตำนานของ Bob Iger
ที่พาบริษัท Disney โตด้วยการ M&A(Mergers&Acquisition)
หรือการไล่ take บริษัททั้งหลาย
ไล่ตั้งแต่ Pixar, Marvel, Lucasfilm มาจนถึง deal ล่าสุดอย่าง 20th Century Fox
ราคาหุ้นของ Disney จากประมาณ 20-30 เหรียญในปี 2005(ปีที่ Bob เข้ารับตำแหน่ง)
เพิ่มขึ้นมาเป็น 145 เหรียญในปี 2020
เมื่อทำธุรกิจถูกทาง ราคาหุ้นของ Disney ก็พุ่งทะยาน
เรียกว่า Bob คือผู้ที่คืนชีพให้ Disney อีกครั้ง
Bob ออกมากล่าวภายหลังว่า
การตัดสินใจโทรคุยกับ Steve Jobs เพื่อขอซื้อ Pixar ครั้งนั้นคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต CEO
และ 10 วันที่ไป visit Pixar เพื่อจะขอซื้อบริษัท
คือ 10 วันที่ดีที่สุดในการทำงานของ Bob เลยทีเดียว
นี่แหละครับ
ขบวนพาเหรดที่เปลี่ยนชีวิตของ Disney ไปตลอดกาล
เพราะถ้า Disney ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ Pixar ในวันนั้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า Disney จะเป็นอย่างไรบ้างในวันนี้
ผมเคยกล่าวถึง CEO ที่มี vision ชั้นยอดอย่าง Reed Hasting ของ Netflix ไปแล้ว
วันนี้ผมขอพูดถึงยอด CEO อีกคนอย่าง Bob Iger ดูบ้าง
ซึ่ง 2 คนนี้เดี๋ยวจะต้องไปเจอกันในสนาม Streaming ระหว่าง Netflix และ Disney+
เมื่อสุดยอด CEO 2 คนมาเจอกัน
ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
น่าสนใจดีนะครับ
Bob Iger(คนซ้าย) และ Reed Hasting(คนขวา) 2สุดยอดCEOต้องมาปะทะกันเอง
จริงๆเรื่องราวของ deal Disney-Pixar ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังให้น่าติดตามอีกเยอะ
รวมถึงมีเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาอีกด้วย
ถ้ามีโอกาสคราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังกันต่อนะครับ
แต่ถ้าใครอยากอ่านเรื่องราวเหล่านี้เต็มๆ
Bob Iger เขียนเรื่องพวกนี้ทั้งหมดไว้ในหนังสือ the Ride of a Lifetime
หนังสือที่เพิ่งออกมาปลายปีที่แล้วนี้เอง
(ยังไม่มีแปลไทย)
ใครสนใจไปหาซื้อกันได้นะครับ
(ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะเอ้อ)
หนังสือชั้นยอด ที่เขียนโดย CEO ชั้นเยี่ยมครับ
โฆษณา