18 ม.ค. 2020 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
ชีวิตพระ
ตอนที่ ๕๐ ปฐมเหตุของการผูกเวร ๓
ยาย มองดูหน้า นายเสรีวะ ใจดำ ด้วยความรู้สึกรังเกียจครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“เจ้าบอกว่า ถาดทองคำของข้าไม่มีราคาค่างวดอะไรมิใช่หรือ” ยายเปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง กับ ที่สองทันที
“อ๊ะ” ท่านรู้ได้อย่างไร นายเสรีวะ ใจดำ ถามยาย พร้อมสังเกตว่า คงจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“ที่รู้ ก็เพราะมีพ่อค้าอย่างเจ้าคนหนึ่งบอกข้าน่ะสิ เขาให้ทรัพย์ข้าตั้ง ๑,๐๐๐ กหาปนะ แล้วเอาถาดทองคำใบนั้นไปแล้ว เจ้าไปเสียเถอะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีก” ยายพูดกับนายเสรีวะ ใจดำ
จากความหวังเต็มเปี่ยม กลายเป็นความผิดหวังอย่างแรงแบบฉับพลัน นายเสรีวะ ใจดำ ไม่อาจจะดำรงสติไว้ได้ ล้มเป็นลมหมดสติไปทันที
พอตื่นขึ้นมา ความผิดหวังก็ยังอยู่ บีบคั้นจิตใจจนเพ้อเสียสติ เอามือโปรยทรัพย์และเครื่องประดับของตนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของสองยายหลานนั่นแหละ
ความไม่สมหวัง เป็นสาเหตุหนึ่งของความโกรธ เป็นช่องทางที่จะทำให้กิเลสตระกูลโทสะ เข้ามาบังคับได้ง่าย ยิ่งนายเสรีวะ ใจดำ ผิดหวังขนาดเพ้อเสียสติ ก็ไม่ต้องห่วงเลย กิเลสตระกูลโทสะก็เข้าบังคับทันที
กิเลสตระกูลโทสะ บังคับให้อยากทำลาย อยากทำลายใคร ก็อยากทำลายนายเสรีวะ ใจดี ที่บังอาจมาซื้อถาดทองคำตัดหน้าไป จึงคว้าคันชั่งวิ่งไปที่ท่าเรือทันที ใจคิดอยากจะเอาคันชั่งนี้ตีทำร้ายร่างกายนายเสรีวะ ใจดี ให้สมแค้น
แต่พอไปถึง ก็เห็นนายเสรีวะ ใจดี นั่งเรือไปถึงกลางแม่น้ำแล้ว ก็ตะโกนบอกคนแจวเรือให้กลับมา กลับมา แต่นายเสรีวะ ใจดี รู้ว่ากลับไปก็ตาย ก็เลยบอกให้คนแจวเรือพายต่อไป
ความโกรธ ของนายเสรีวะ ใจดำ พุ่งถึงขีดสุด เปลี่ยนจากความคิดที่อยากจะทำลาย กลายเป็นหาโอกาสช่องทางทำลาย ความโกรธชนิดนี้ เรียกว่า “พยาบาท” ซึ่งเป็นดีกรีขั้นสูงที่สุด ของกิเลสตระกูลโทสะ
กิเลส ๒ ตระกูลแรก ทำงานแล้ว กิเลสตระกูลโมหะ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ขอมีผลงานมั่ง
ในตอนที่ ๓๗ กับ ๔๘ ได้บอกว่ากิเลสตระกูลโมหะมีหน้าที่บังคับให้ คิดผิด พูดผิด ทำผิด เพราะเข้าใจว่าถูก แต่ความจริงยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง ที่น่ากลัวมาก นั่นก็คือ มันบังคับให้เอาความรู้ที่มีอยู่ไปใช้ในทางที่ผิด
นายเสรีวะ ใจดำ หรือ อดีตของพระเทวทัต สร้างบารมีมาแล้ว ๒ อสงไขยกัป จึงมีความรู้ชนิดหนึ่งที่ติดตัวมา อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ นั่นก็คือ “เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด”
ความรู้อันนี้ ถ้านำมาใช้อย่างถูกวิธี ก็จะเกิดประโยชน์กับการดำเนินชีวิตมาก แต่หากถูกกิเลสตระกูลโมหะบังคับให้เอามาใช้ในทางที่ผิด จะน่ากลัวมาก เหมือนกับนายเสรีวะ ใจดำ คนนี้
เมื่อกิเลสตระกูลโทสะ บังคับ นายเสรีวะ ใจดำ จนถึงขั้น “พยาบาท” ได้แล้ว นายเสรีวะ ใจดำ ก็เอามือทั้งสองกำเม็ดทรายที่ริมฝั่งแม่น้ำยกขึ้นชูให้นายเสรีวะ ใจดี เห็น พร้อมกับเอาความรู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาใช้ในทางที่ผิด (เพราะกิเลสตระกูลโมหะบังคับ) ตะโกนออกไปว่า
“เจ้าเสรีวะ จงฟังไว้ … หากจำนวนเม็ดทรายในมือข้าคือจำนวนชาติที่เจ้ากับข้าจะเกิดเจอกัน ข้าจะขอจองล้างจองผลาญเจ้าไปทุกชาติ เท่ากับจำนวนเม็ดทรายที่อยู่ในมือทั้งสองนี้”
พอพูดจบ ความร้อนในตัวก็พุ่งถึงขีดสุด หัวใจของนายเสรีวะ ใจดำ ก็แหลกสลาย เลือดร้อนพุ่งออกจากปาก อุปมาเหมือนกับลาวาที่พุ่งออกจากปล่องภูเขาไฟ ถึงแก่ความตายที่ริมฝั่งแม่น้ำนั่นเอง พร้อมกับกายละเอียดก็ตกมหานรกไปตามความหมองของใจ
ในที่สุดทั้งกิเลส ตระกูลโลภะ โทสะ และ โมหะ ก็ทำหน้าที่บังคับให้นายเสรีวะ ใจดำ หรือ อดีตพระเทวทัต ให้ทำกรรมชั่วได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นจุดเริ่มต้นของ “กรรมลิขิต” ดังที่กล่าวไว้ในตอนที่ ๔๔ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
มาถึงบัดนี้ พระเทวทัตก็สำนึกผิดแล้ว กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ในอเวจีมหานรก และเมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ก็คงตั้งอกตั้งใจทำความดีอย่างยิ่งยวดในอีกแสนกัปที่เหลือเป็นแน่แท้ เพราะคู่เวรของพระเทวทัต คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าสู่อายตนะนิพพานไปแล้ว กรรมก็มิอาจจะลิขิตให้ไปทำร้ายพระพุทธองค์ได้อีก
เราก็ช่วยกันให้กำลังใจพระเทวทัตกันนะ เพราะผู้ที่สำนึกผิดแล้วกลับตัวกลับใจได้ ก็เป็นผู้ที่สมควรแก่การให้อภัย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบเรื่องราวแห่งกรรมลิขิตนี้ อย่างแจ่มแจ้ง ดังที่กล่าวไว้ในหลายๆ ตอน และพระองค์ก็มิอาจจะเปลี่ยนแปลงกรรมลิขิตอันนี้ได้ ได้แต่ผ่อนหนักเป็นเบา จึงยอมให้พระเทวทัตบวชในศาสนาของพระองค์
มิใช่แค่ผ่อนหนักเป็นเบาเท่านั้น แต่ยังเป็นการประคับประคองพระปัจเจกโพธิสัตว์ ให้ถึงฝั่งแห่งการตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง (แต่ไม่ทรงสอนใคร) อีกด้วย นี่คือมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ที่มิอาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบปานได้ จริงๆ
พอเขียนถึงตอนนี้ รู้สึก จุกในอก มันตื้นตัน...​จนบอกไม่ถูก ทำให้อดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า ...
ข้าพระองค์ ขอกราบแทบมูลบาทพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณอันหาที่สุดมิได้ พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า ….
จบ ภาค ๑

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา