Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Schubert
•
ติดตาม
17 ม.ค. 2020 เวลา 02:35 • ปรัชญา
ขอบคุณความดีงามในจิตใจของคนเรา..
ที่ยังมีอยู่ เพราะเวลาที่เราๆได้สัมผัสสิ่งนั้น ไม่ว่าจะด้วยการอ่าน การฟัง การอยู่ร่วมเหตุการณ์ มันช่างสวยงามจริงๆครับ
ในเรื่องนี้ บางทีคนที่ไม่ได้มีสายเลือดผูกพันธ์กัน แต่ได้กระทำสิ่งที่ดีงามต่อกันนั้น..
สำคัญยิ่งกว่า
คนในครอบครัว
หลังจากที่พ่อของผมเสียได้สามปี คุณก็เข้ามาอยู่บ้านของเรา ในฐานะเดียวกันกับพ่อของผม!
แต่คุณสู้พ่อของผมไม่ได้แม้แต่น้อย สิ่งที่คุณพอมีก็คือคุณเป็นคนซื่อและเป็นคนดี
แม่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขอะไรมากมายในการหาคู่ชีวิตคนใหม่
สิ่งที่แม่ของผมต้องการก็คือเพื่อน
และคุณมีสิ่งนั้นที่แม่ผมต้องการ
วันที่คุณได้พบกันแม่ของผมวันแรก
คุณแทบจะเลิกล้มความคิด
เพราะคุณเทียบอะไรกับแม่ผมไม่ได้เลย
บ้านของคุณหลังเล็กนิดเดียว เงินเดือนของคุณก็น้อยมาก คุณมันก็แค่คนธรรมดาๆที่ตกงานคนหนึ่ง
และลูกชายที่เพิ่งจะแต่งงาน ก็ยังต้องการการอุ้มชูจากคุณ
พูดจริงๆนะ แม่ของผมก็แค่ไม่อยากให้คนที่แนะนำเสียหน้า ก็เลยตัดสินใจมาพบคุณ
แต่สิ่งที่แม่ของผมประทับใจในตัวของคุณมากๆก็คือ ฝีมือทำกับข้าวของคุณ
หลังจากการพูดคุยกันผ่านไปสักครู่ คุณก็เป็นผู้เอ่ยขึ้น
“ผมรู้ว่าคุณมีคนให้เลือกมากมาย เพราะคุณไม่ได้ขาดพร่องอะไร ผมไม่รู้จะมอบอะไรให้คุณเป็นของขวัญ ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้เราก็ได้รู้จักกันแล้ว กลางวันนี้ทานข้าวร่วมกันสักมื้อนะครับ ผมจะทำอาหารอย่างง่ายๆให้พวกคุณทาน”
ความสุภาพและความจริงใจของคุณทำให้แม่ของผมไม่กล้าปฏิเสธ
คุณทำอาหารเพียงลำพังโดยที่เราไม่ต้องช่วยลงมือแม้แต่น้อย ก็ได้อาหารมาสี่อย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งถ้วยใหญ่
แม่ติดใจผัดฟักทองของคุณมากๆ กินเอาๆจนไม่ยอมวางช้อน
ก่อนกลับ คุณยังบอกแม่ของผมอีกว่า
“หากคุณชอบทานผัดฟักทองก็แวะมาได้อีกนะครับ บ้านของผมอาจไม่สะดวกสบายมากนัก แต่ก็มีฟักทองเลี้ยงคุณได้สบายครับ”
แม่นัดพบกับผู้ชายที่ญาติแนะนำอีกหลายคน
แม้คนเหล่านั้นจะมีฐานะดีกว่า และภูมิฐานกว่าคุณมากมาย
แต่สุดท้ายแม่ก็เลือกคุณเข้ามาอยู่กับพวกเรา เหตุผลนั้นแทบจะฟังไม่ขึ้น
แม่บอกว่า เพราะแม่ต้องดูแลพ่อตั้งแต่สมัยสาวๆจนแก่ แม่อยากเป็นคนถูกดูแลบ้าง!
เพราะเหตุผลนี้ คุณจึงเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา
วันนั้น คุณ แม่ ผม และคนที่บ้านของคุณอีกสามคนไปกินข้าวร่วมกัน ผมตั้งใจเลือกภัดตาคารอาหารที่หรูและมีราคาแพง ดูเหมือนผมต้องการเลี้ยงต้อนรับพวกคุณ แต่จริงๆผมแค่ต้องการดูพฤติกรรมของคุณและคนที่บ้านของคุณต่างหากว่าจะมีหางหรืออะไรโผล่มาให้เห็นบ้างหรือเปล่า?
หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ตอนที่เดินออกมา คุณบอกกับผมเบาๆว่า
“จากนี้ไปเราก็อยู่ร่วมกันในสถานะพ่อลูก หากเธอจะเลี้ยงข้าวฉัน พาฉันไปเลี้ยงที่ร้านข้าวแกงจะดีกว่า ที่นั่นฉันจะกินได้อิ่มกว่านี้ และไม่ต้องรู้สึกเสียดายเงินของเธอเหมือนกับวันนี้ ”
ความจริงใจของคุณที่แสดงออกมา เหมือนน้ำร้อนๆลวกใจลวงๆของผมให้สะดุ้งครั้งแล้วครั้งอีก มันทำให้ผมรู้สึกว่า การล้อเล่นกับผู้ใหญ่ที่เป็นคนซื่อ ไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่เอาขนมมาล่อเด็ก คุณทำให้ผมรู้สึกละอายใจ
คุณดูแลแม่ของผมเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ผมกลับไปเยี่ยมแม่ คำแรกที่แม่มักจะพูดเสมอก็คือ“แม่ต้องลดความอ้วนแล้ว ดูสิ!”
คำพูดที่แม่พูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข ผมก็รู้สึกอย่างนั้นว่า กับข้าวที่คุณทำมันอร่อยยอดเยี่ยมมาก
ครั้งหนึ่งที่เราทานข้าวด้วยกัน ผมเผลอพลั้งปากบอกภรรยาของผมว่า
“วันหลังเธอก็มาเรียนทำอาหารกับอาแปะหน่อยนะ เธอทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย สู้อาแปะทำก็ไม่ได้”
ภรรยาของผมค้อนขวับในทันที เธอไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากจ้องผมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
คุณรีบออกมาห้ามทัพ
“ตลอดชีวิตของฉันทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง มีดีบ้างก็เรื่องกินนี่แหละ พวกเธอเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน อย่ามาเรียนกับฉันเลย หากพวกเธอหิวก็แวะมากินข้าวได้ มาได้ตลอดเวลาเลยนะ ฉันยินดีทำให้พวกเธอกิน กลัวก็แต่ทำแล้วพวกเธอไม่ชอบกินต่างหากล่ะ”
วันนั้น ก่อนที่พวกเราจะกลับ คุณห่ออาหารที่คุณทำให้พวกเราเอากลับมากินตั้งมากมาย แถมยังลากผมไปคุยในห้องครัวว่า“อย่ายอฉันว่าทำกับข้าวอร่อย ผู้ชายทำกับข้าวอร่อยมันไม่น่าชมหรอก แค่เรื่องทำกับข้าว มันไม่ใช่เรื่องเก่งหรือไม่เก่ง วันหลังไม่ต้องชมฉันอีกนะ”
ตอนที่ผมขับรถกลับบ้าน ผมบอกเรื่องที่คุณพูดกับผมในครัว ภรรยาของผมพูดขึ้นว่า“ก็ใครให้เขาเกิดมาด้อยกว่าคนอื่นล่ะ นี่ถ้าก้มหัวแทบพื้นได้เขาก็คงทำไปแล้วแหละ คุณแม่โชคดีนะคะ มีคนรับใช้ยังกะเป็นฮองเฮา”
ผมขับรถไปมองหน้าของภรรยาไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้แก้ตัวแทนคุณ ยังไงคุณก็เป็นคนอื่นอยู่ดี คุณไม่ใช่คนในบ้านของเราตั้งแต่แรกนี่นา
วันที่ผมย้ายบ้านใหม่
คุณกับแม่มาช่วยจัดการเตรียมข้าวของเพื่อถวายพระ
คุณมีความรู้เรื่องประเพณีดีมากๆ ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่พอถึงเวลาทานข้าว คุณกลับไม่ยอมมานั่งที่โต๊ะเจ้าภาพ ผมตามหาคุณไปทั่วก็หาคุณไม่เจอ โทรหาคุณโทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง
เหมือนกับว่าคุณกะเวลาไว้แล้ว พอแขกทยอยกลับกันจนหมด คุณถึงปรากฏตัวอีกครั้ง คุณช่วยเก็บข้าวของด้วยความกระตือรือร้น คุณเก็บอาหารที่เหลือใส่กล่องที่เตรียมไว้เพื่อเอากลับไปกินที่บ้าน
แม่ของผมไม่อยากให้คุณทำอย่างนั้น เพราะท่านรู้สึกอดสูแทนคุณ แต่คุณกลับบอกแม่ของผมเบาๆว่า
“เย็นนี้ผมทำให้คุณใหม่ ส่วนนี้ผมเก็บไว้กินเอง”
“ทำไมคุณต้องกินอาหารเหลือทุกๆวัน? คุณรู้หรือเปล่า ฉันรู้สึกแย่แค่ไหนที่คุณทำอย่างนี้?”แม่ของผมพูดขึ้น
“คุณอย่ารู้สึกอย่างนั้นเลย หากทิ้งอาหารเหล่านี้ไปผมรู้สึกไม่สบายใจ อาชัย(ชื่อของผม)ทำงานหาเงินด้วยความลำบาก เราช่วยลูกประหยัดได้ก็น่าจะทำนะ”
คำพูดของคุณ ทำให้แม่ของผมนิ่งไปนานสองนาน
แม่โทรมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง
ผมฟังเสร็จ ก็รู้สึกสับสนมาก!
จากความรู้สึกสับสนก็กลายเป็นละอายใจ
สับสนตรงที่ว่า ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับคุณมากยิ่งขึ้น
เวลาข้าวของที่บ้านเสียหรือพัง คุณก็ช่วยซ่อมช่วยทำให้จนดีเหมือนเดิม
คุณยังช่วยรับส่งลูกของผมไปโรงเรียนทุกวัน เวลาที่แม่ของผมไม่สบาย ต้องนอนโรงพยาบาล คุณก็ดูแลท่านจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนแม่ออกจากโรงพยาบาลคุณถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเรา
สิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนก็คือ คุณก็ล้มป่วยเป็นกับเขาเหมือนกัน
วันนั้น ขากลับจากไปส่งลูกของผมที่โรงเรียน คุณล้มหัวฟาดกับพื้นถนน เลือดคั่งในสมองอาการหนักมากจนกลายเป็นอัมพฤกษ์
ผมและลูกของคุณ เราพยายามรักษาคุณให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ววัน
เราหวังว่าคุณจะจะกลับมาดูแลเราเหมือนเก่า แต่ทว่า คุณก็ไม่อาจกลับมายืนได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
คนที่ร่าเริงและมีรอยยิ้มให้กับทุกๆคนอย่างคุณ กลายเป็นคนอ่อนแอ คุณเอาแต่ร้องไห้
แม่ของผมดูแลคุณ คุณร้องไห้
ลูกชายของคุณป้อนผลไม้ให้คุณกิน คุณร้องไห้ พวกเราเข็นรถให้คุณนั่ง คุณร้องไห้
เห็นเราเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาคุณเป็นจำนวนมาก คุณร้องไห้
และวันหนึ่ง คุณก็เอามีดโกนหนวดกรีดข้อมือของตัวเอง คุณหมอใช้เวลาช่วยคุณเป็นเวลาถึง5ชั่วโมง เราจึงสามารถยื้อคุณจากอุ้งมือของมัจจุราชได้ สภาพของคุณทั้งเหนื่อยอ่อนทั้งหมดหวัง
คนที่ทิ้งคุณไปก่อนผม กลับกลายเป็นลูกชายของคุณ เขามาเยี่ยมคุณน้อยลง จนหลังๆนี้เขาแทบจะไม่โผล่หน้ามาเลย
ทุกครั้งที่ผมโทรหาเขา คำตอบก็คือเขาต้องไปประชุมต่างจังหวัดบ่อยๆ ถ้ากลับมาเขาจะมาเยี่ยมคุณเอง
และสิ่งที่เหมือนฟ้าผ่าผมตอนกลางวันแสกๆก็คือ แม่บอกกับผมว่า ท่านต้องการแยกทางกับคุณ! คุณกับแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน จะแยกกันเมื่อไหร่ก็ได้
แม่บอกกับผมว่า“แม่แก่แล้ว แม่ดูแลเขาไม่ได้หรอก แม่ช่วยลูกในส่วนนี้ไม่ได้ ลูกจะเอาคนพิการไปเลี้ยงดูที่บ้านได้ยังไง มันจะเป็นภาระของลูกเปล่าๆนะ!”
“!!!!!”
ผมไม่อยากเชื่อว่าแม่จะพูดด้วยความเย็นชาอย่างนี้!
ผมไม่อยากให้แม่เป็นคนพูดกับคุณเอง ผมจึงอาสาที่จะเป็นคนพูดแทน
ผมเปิดประตูห้องเข้าไปหาคุณ
คุณนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“อาแปะ แม่ของผมไม่สบาย”
ผมพูดเพียงแค่นี้คุณก็ร้องไห้ มันบีบหัวใจของผมเพียงใด ผมจะพูดต่อดีหรือไม่?
“อาแปะก็รู้ว่าแม่ของผมอายุมากแล้ว ช่วงที่ผ่านมาแม่ของผมก็ดีต่ออาแปะมาก”
คุณพยักหน้าไปร้องไห้ไป
“ส่วนผมกับเมียก็ต้องไปทำงานทุกวัน แม่ก็สุขภาพไม่ค่อยดี เอาอย่างนี้ดีไหมครับ หากอาแปะออกโรงพยาบาลวันไหน อาแปะกลับไปอยู่บ้านของอาแปะดีไหมครับ? ผมจะหาคนมาดูแลอาแปะหนึ่งคน ค่าจ้างผมเป็นคนออกเอง พวกเราจะไปเยี่ยมอาแปะบ่อยๆ”
พอพูดถึงตรงนี้ คุณก็ไม่ร้องไห้อีกต่อไป ได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “ดีๆ อย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องจ้างคนมาดูแลฉันหรอก ไม่ต้องๆ...”
ผมเดินออกมาและแอบไปร้องไห้ที่สวนของโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโล่งอกที่ได้ปลดปล่อยตัวเอง หรือเป็นเพราะความรู้สึกละอายและผิดต่อคุณกันแน่
ผมบึ่งรถไปบริษัทจัดหางาน ทำสัญญาว่าจ้างแม่บ้านมาคนหนึ่ง และจ่ายค่าจ้างไปทั้งหมดหนึ่งปีเต็มๆ จากนั้นก็จ้างบริษัทรับทำความสะอาดมาช่วยทำความสะอาดบ้านของคุณให้สะอาดสะอ้าน
จะว่าไป ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณเลย ผมทำเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดมากไปกว่านี้ต่างหาก!
วันที่คุณออกจากโรงพยาบาล ผมไม่ได้ไปด้วย แต่ผมให้คนขับรถของบริษัทเป็นคนจัดการธุระแทน คนขับรถกลับมาบอกผมว่า “คุณลุงฝากคำขอบคุณมาครับ แกบอกว่า ลูกจริงๆยังทำได้ไม่เท่าคุณเลย”
คำพูดเหล่านี้ มันช่วยปลอบประโลมใจของผมได้เป็นอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกคลายใจนี้ก็อยู่กับผมได้ไม่นานนัก
ปีใหม่ของปีต่อมา พวกเราฉลองกันด้วยความเงียบเหงา ไม่มีคนที่คอยเสกอาหารอันเลิศรสส่งจากห้องครัวมาให้เราได้ลิ้มลองอีกต่อไปแล้ว
ผมนั่งทานข้าวในโรงแรมห้าดาว แต่อาหารที่สั่งมากลับไม่มีรสชาติอะไรเอาเสียเลย
จู่ๆ ตอนขับรถกลับบ้าน ลูกชายของผมก็เอ่ยขึ้นว่า“หนูจะกินปลาเปรี้ยวหวานของอากงๆ” ภรรยาของผมดุลูกชายด้วยสายตาว่าให้หยุดพูดได้แล้ว แต่ลูกชายของผมกลับพูดขึ้นว่า “ทำไม่ป่าป๊ากับหม่าม้าไม่พาอากงมาฉลองที่บ้านของเรา ป่าป๊ากับหม่าม้าเป็นบ้าไปแล้ว!”
ภรรยาของผมทนไม่ได้ จึงตีแกไปหนึ่งที และก็บิดหูลูกให้หยุดเอะอะได้แล้ว
เสียงตีลูกเสียดแทงเหมือนมีดกำลังกรีดลงไปที่หัวใจของผม จนหน้าแดงร้อนขึ้นมาในทันที
คำพูดของลูก ทำให้พวกเราต้องช่วยกันหาคำปลอบใจมาพูดให้กันฟัง
ผมมองกระจกหลังไปที่แม่ เห็นแม่ได้แต่นั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตา
คุณก็คงรู้ มันเป็นการฉลองปีใหม่ที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ผมนึกถึงปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว วันที่เราฉลองปีใหม่ด้วยกันที่บ้าน เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานมีความสุข
แต่คุณกลับยิ้มแย้มแจ่มใสทำอาหารเงียบๆอยู่ในครัวอย่างมีความสุข
ผมไม่รู้ว่าคืนนี้คุณฉลองปีใหม่อยู่กับใคร?
และคุณจะคิดถึงพวกเรา เหมือนกับที่เราคิดถึงคุณไหม?
คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนที่เรากำลังเป็นกัน ณ ตอนนี้หรือเปล่า?
ผมส่งแม่ ภรรยาและลูกกลับไปที่บ้านแล้วจึงบ่ายหน้าไปหาใครคนหนึ่ง
เสียงนับถอยหลังเค้าท์ดาวน์ดังขึ้นจากวิทยุในรถของผม ผมกดกริ่งหน้าประตูบ้านของคุณ คุณเดินกระเผลกๆออกมาเปิดประตูบ้าน พอเห็นว่าเป็นผม คุณยิ้มด้วยความดีใจ แต่น้ำตากลับไหลออกมาพร้อมๆกัน
ผมเดินตามคุณเข้าบ้าน ผ่านห้องครัวที่เหมือนกับไม่ได้ทำอาหารมาเป็นเวลานาน
ณ ตอนนั้น ทำนบเขื่อนแห่งน้ำตาของผมก็พังทลายลงมา มันกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
ผมยกโทรศัพท์โทรไปหาลูกชายของคุณ จากนั้นก็ด่า ๆๆ พอด่าสมใจผมแล้ว ผมก็ลงมือต้มบะหมี่ให้คุณ
คุณบอกผมว่า แม่บ้านลาหยุดไปฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างจังหวัด
เธอเตรียมอาหารกระป๋องไว้ที่หัวเตียงของคุณให้เพียงพอจนกว่าเธอจะกลับมาใหม่ในอาทิตย์หน้า
ผมต้มบะหมี่และแอบตำหนิแม่ในใจว่าทำไมถึงใจดำอย่างนี้
ผมยกชามบะหมี่ออกจากครัวมาให้คุณที่โซฟา
คุณรับบะหมี่ไปกิน น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าของคุณตกลงไปที่ชามบะหมี่ ผมได้แต่เบือนหน้าหนีเพื่อปาดน้ำตาของตัวเอง
คืนนั้น ประมาณตีห้าผมก็แอบออกจากบ้านคุณมาอย่างเงียบๆ
ผมยกขวดเหล้าขึ้นซด ได้แต่จอดรถไว้ไต้คอนโดของคุณ แล้วก็เดินออกไปที่สวน อากาศที่หนาวเหน็บยังหนาวไม่เท่าใจของผมที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น “คุณอยู่ที่ไหน?”
เสียงภรรยาของผมเอ็ดมาด้วยเสียงอันดัง
โทสะของผมคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมอยู่บ้านของคนที่เราทิ้งเขาไว้ให้โดดเดียว พวกเรายังเป็นคนอยู่กันอยู่หรือเปล่า? ตอนที่เขาสบายดี เรากลับใช้เขายังกับทาส พอเขาเดินไม่ได้ เรากลับส่งเขากลับบ้าน มโนธรรมของเราหายไปไหนกันหมด?”
ผมยืนด่าตัวเองเหมือนคนเป็นบ้าอยู่ข้างถนน ด่าตัวเองจนหนำใจ ด่าตัวเองจนเหนื่อย จึงวิ่งกลับไปหาคุณที่บ้าน จากนั้นก็แบกคุณขึ้นบ่าแล้วเดินออกจากห้อง
คุณตกใจ ลนลานถามขึ้นว่า
“เธอจะทำอะไร? จะพาฉันไปไหน?”
ผมตอบคุณอย่างไม่ลังเล
“กลับบ้าน!”
เมื่อถึงบ้าน
คนที่ดีใจที่สุดก็คือลูกชายของผม แกเอาแต่กอดและก็หอมแก้มคุณซ้ายทีขวาที อ้อนคุณให้ทำปลาเปรี้ยวหวานและขนมเกลียวทอดให้แกกิน อีกทั้งขอให้คุณวาดรูปการ์ตูนให้
ภรรยาของผมดึงผมเข้าไปในห้อง
“คุณเป็นบ้าแล้วหรือไง? ลูกของเขายังไม่ยอมดูแล คุณจะพาเขามาอยู่บ้านเราทำไม”
ผมไม่โมโหแล้ว จึงบอกกับเธออย่างเรียบๆว่า“ลูกของเขาทำไม่ได้ก็เรื่องของลูกเขา มันไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรดูแลเขานี่นา ผมไม่ขอให้คุณเห็นเขาเป็นพ่อผัวหรอก แต่หากคุณรักผม แคร์ผม ก็ขอให้เห็นเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง เพราะในหัวใจของผม เขาเป็นเหมือนเตี่ย เหมือนญาติผู้ใหญ่ เป็นคนในบ้านคนหนึ่ง ปล่อยให้เขาอยู่ตามยถากรรมนะผมก็ทำได้ แต่มันเหมือนเป็นตราบาปติดอยู่ในใจผม ผมอยากมีชีวิตอยู่แบบไม่ผิดต่อใคร เหตุผลของผมก็มีเพียงแค่นี้แหละ”
ผมพูดเหตุผลนี้ให้กับแม่ฟังเช่นกัน แม่ผมร้องไห้หนักมาก จับมือของผมไว้แน่น
“แม่ไม่คิดว่าแกจะมีน้ำใจถึงขนาดนี้!”
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องห่วง ต่อให้วันหนึ่งแม่ไม่อยู่แล้ว ผมก็จะดูแลอาแปะต่อไปเรื่อยๆ”
อยู่ๆ ลูกชายของผมก็เดินมาหา
“ป่าป๊าครับ อย่าไล่อากงออกจากป้านอีกนะครับ วันหน้าผมโตขึ้นผมจะเป็นคนเลี้ยงอากงเอง ถ้าป่าป๊าแก่ ผมก็จะเลี้ยงป่าป๊าเหมือนกัน” ผมดึงลูกเข้ามากอด ในหัวใจมันตีบตันและตื้อไปหมด
โชคดีแค่ไหน ที่ผมไม่เข้าใจตอนที่มันสายไปกว่านี้ โชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้สร้างตราบาปให้เกิดขึ้นในหัวใจของลูก โชคดีแค่ไหนที่ลูกยังสัมผัสได้ถึงความกตัญญูที่ผมมีอยู่
“ใครจะไปกล้าไล่อากงออกจากบ้าน อากงรักหนูจะตายไป” ผมกอดลูกน้ำตาก็คลอไป นี่คือคำสัญญาที่ผมให้ไว้กับลูกชายตัวน้อย
…..
หากคุณอยากให้ลูกดูแลยามที่คุณแก่เฒ่า
ตอนนี้ คุณดูแลพ่อแม่บ้างหรือเปล่า?
ตอนนี้ คุณเลี้ยงดูพ่อแม่บ้างหรือเปล่า?
ชีวิตคนเราเวียนไปตามวัฏจักร
วันนี้คุณดูแลพ่อแม่อย่างไร
วันหน้าลูกก็จะดูแลคุณอย่างนั้น
จงนำจิตทดแทนคุณมา..ดูแลพ่อแม่
จงนำจิตสำนึกคุณมา..กตัญญูต่อพ่อแม่
.
cr: นุสนธิ์บุคส์
1 บันทึก
8
10
1
1
8
10
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย