27 ม.ค. 2020 เวลา 11:37 • ไลฟ์สไตล์
ชีวิตช่วงมหาลัยเป็นวัยแห่งการทำกิจกรรม เป็นช่วงนึงที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เช่น “การไปเข้าค่าย” เพราะคิดว่าชีวิตมหาลัยมันต้องมีอะไรมากกว่าการเรียนสิ !
ย้อนกลับไปตอนอยู่ปี 1 ☝🏻 ตอนนั้นก็มีค่ายมากมายที่เปิดรับสมัคร แต่ละค่ายก็แตกต่างกันไป มีทั้งค่ายสร้าง ค่ายจิตอาสา ค่ายเชิงศึกษาวัฒนธรรม และค่ายอนุรักษ์
ตอนนั้นตัดสินใจสมัครไปค่ายอนุรักษ์ เพราะบอร์ดประชาสัมพันธ์สวย และรู้สึกว่าน่าจะได้เห็นวิวสวยๆ เหมือนได้ไปเที่ยว
สุดท้ายก็ติดค่ายอนุรักษ์จริงๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง แนวคิด และความรู้สึกที่มีต่อการอนุรักษ์มาจนถึงทุกวันนี้ 🌱
วันนี้แอดมินจะมารีวิวในส่วนของความเป็นอยู่ใน "ค่ายอนุรักษ์" หลายคนอาจสงสัยว่า ค่ายอนุรักษ์ไปทำอะไรกัน ไปปลูกป่า? ไปสร้างฝาย? แต่ขอบอกเลยว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย
แต่ก็ต้องบอกอีกเรื่องว่า ค่ายอนุรักษ์แต่ละที่ก็มีรูปแบบที่ต่างกันไป แต่ที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้คือค่ายที่ได้เคยไปมาเท่านั้น
เริ่มต้นจากการแบกเป้ เราไปค่ายกันทั้งหมด 6 วัน กระเป๋าจึงเต็มไปด้วยข้าวของสัมภาระ ของใช้ส่วนตัว เหมือนแบกบ้านกันไปเลยทีเดียววว แต่ยิ่งเอาของไปเยอะก็ยิ่งเป็นภาระกับตัวเอง🤣
ค่ายจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือช่วงที่อยู่ข้างนอกป่าและช่วงที่เข้าไปในป่า
ช่วงที่พักอยู่ข้างนอกก็จะเน้นกิจกรรมที่ทำให้รู้จักกันมากขึ้น รวมถึงการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต้องการดำรงชีวิตในป่า เช่น การกางเต๊นท์ การจัดกระเป๋าเป้ การจุดไฟ และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับยา เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเข้าป่า...
และแน่นอนว่าถ้าเราเข้าไปตั้งค่ายในป่าแล้วนั้น ในป่าจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนข้างนอก ทั้ง น้ำ ไฟฟ้า สัญญานโทรศัพท์ ตัดขาดไปได้เลย
"วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า"
การเข้าไปตั้งค่ายในป่าต้องเดินเท้าเข้าไป ระหว่างทางที่เดินก็คือป่า!! ป่าจริงๆไม่ใช่สนามหญ้าแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเปิดประสบการณ์มาก ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก เพราะต้องแบกสัมภาระเข้าไปเองทาง สัมภาระมีทั้งของใช้ส่วนตัวและของใช้กองกลางสำหรับคนในค่าย เช่น เต้นท์ ฟลายชีท จอบ เทียน แม้กระทั่งกระทะ!! อย่างคนในรูปที่ผูกกระทะไว้หลังกระเป๋านั่นเอง
.
กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ !
เราเดินป่ากันไปร่วม 3 ชั่วโมง ทางเดินก็มีทั้งทางชัน ทางลาด ทางเรียบ สลับกันไป กว่าจะถึงที่ตั้งค่ายในป่า ก็ทำเอาหมดแรง
ถึงที่ตั้งค่ายของเราแล้วววว... ที่เห็นในภาพนั้นที่พักในป่าของเรา พอมาถึงเราต้องทำการตั้งค่าย โดยการกางเต้นท์ ขุดหลุมไฟ กางหลังคาฟลายชีท ทำห้องน้ำ (ชั่วคราว) และที่ทำอาหาร และต้องทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนฟ้าจะมืด (ในป่ามักจะมืดเร็วมาก)
ทุกคนในค่ายร่วมด้วยช่วยกัน จนออกมาสำเร็จ ที่นี่จะเป็นที่พักและที่ทำกิจกรรมร่วมกันของเราทุกคน
ไฮไลต์ของการมาค่ายนี้เลยคือ “การทำอาหาร” ที่ต้องทำกินเองทุกมื้อ แต่สำหรับคนที่ทำอาหารไม่เป็นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับค่ายนี้ เพราะเมื่อจบค่ายนี้ไปทุกคนจะทำอาหารเป็นทันที และยังได้สกิลการจุดไฟอีกด้วย ว่าแล้วก็ไปหาฝืนกันเลย 🔥
โชคดีที่มีลำธารอยู่ข้างๆค่ายของเรา ทำให้เราได้ใช้น้ำในส่วนนี้ทั้งดื่ม ประกอบอาหารและชำระล้างร่างกาย
.
พูดถึงน้ำลำธาร รสชาติก็เหมือนน้ำดื่มธรรมดานี่แหละ ไม่ได้แย่อย่างที่ใครคิด แต่ก่อนนำมาใช้เราก็ต้องทำการกรองก่อน เพื่อกรองตะกอนออกบางส่วนโดยใช้เครื่องกรองที่เราทำเอง
แท่นแท๊น!!✨ อาหารเสร็จแล้วหน้าตาน่ากินมากกกจากฝีมือพวกเราทั้งนั้น เห็นอาหารเยอะขนาดนี้ทำให้นึกถึงตอนช่วงต้นเดือนที่มักจะมีความเป็นอยู่ที่ดีเมื่อเงินเดือนออก😂 ทำให้เรียกมื้อนี้ว่า “กับข้าวต้นเดือน” นั้นเอง
.
แต่ถ้าลองซูมดูใกล้ๆเราจะไม่เห็นเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ กันเลย เพราะวัตถุดิบหลักคือ ผัก มาม่า ปลากระป๋อง ไข่ และโปรตีนเกษตร!!
.
เนื่องจากในค่ายของเราไม่มีไฟฟ้าใช้และไม่มีตู้เย็นทำให้เราไม่สามารถเก็บเนื้อสัตว์เอาไว้ได้ ค่ายของเราจึงเต็มไปด้วยผักและของแห้งเท่านั้น
กิจกรรมตอนกลางคืนก็น่าสนใจไม่แพ้กันเราจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า “การร้องเพลงสลึง” ตกเย็นเราจะมานั่งล้อมวงกันท่ามกลางแสงเทียน ที่มีแค่กีตาร์หนึ่งตัวหนังสือสลึง และผู้คน ที่มีหัวใจรักธรรมชาติมาอยู่รวมกัน
สลึง ก็คือบทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อให้ข้อคิด คติเตือนใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิต โดยจะสอดแทรกข้อคิดในเพลงแต่ละเพลง แล้วจะไม่ใช่เพลงที่สื่อเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวเหมือนในเพลงยุคปัจจุบัน
หนังสือสลึง
นอกจากนี้ยังมีบทเพลงสื่อธรรมชาติ ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติในแง่มุมต่างๆ ทำให้ได้รู้สึกและเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้นผ่านบทเพลง
🌟หากใครสนใจเกี่ยวกับหนังสือสลึงเพิ่มเติม สามารถดูบทเพลงในหนังสือสลึงได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ
นี่ก็คือภาพรวมคร่าวๆ ของการใช้ชีวิตในค่ายอนุรักษ์ ช่วงแรกอาจไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะเริ่มปรับตัวได้เอง
สิ่งที่ได้จากการไปค่ายก็คือการออกจาก “Comfort zone” ของตัวเอง ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ที่ตัดสิ่งอำนวยความสะดวกออกไปทั้งหมด
ทำให้ได้อยู่กับตัวเอง ได้โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น ใส่ใจคนที่อยู่รอบข้างมากขึ้น ไร้สังคมก้มหน้าเหมือนที่เราเคยเผชิญกันอยู่
.
เมื่ออยู่กับธรรมชาติสักพัก เราจะเริ่มมีอีโก้ที่น้อยลง เราจะลืมว่าเราเป็นใครมาจากไหน เพราะเมื่อมาอยู่ที่นี่ทุกคนมีปัจจัยเท่ากัน ทำให้ไม่มีใครเหนือไปกว่าใคร
เราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กมากเมื่อเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เพราะธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน... เป็นต้นกำเนิดของชีวิตมากมายรวมถึงตัวเราเอง
ถ้าพูดถึง “ค่ายอนุรักษ์” คงยังไม่จบเพียงแค่บทความนี้ เรื่องที่จะกล่าวต่อไปคือกิจกรรมที่ทำในค่ายอนุรักษ์ ช่วยส่งเสริมความเป็นอนุรักษ์อย่างไรบ้าง คนที่มาเข้าค่ายจะได้รับอะไรกลับไปบ้าง ...
โปรดติดตามได้ใน รีวิวค่ายอนุรักษ์ EP.2 🌱
เร็วๆ นี้
ขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบนะคะ
สามารถย้อนอ่านและติดตามบทความใหม่ๆได้ทางเพจ “เรื่องเล่าคนเข้าป่า”
หากชอบบทความของเรื่องเล่าคนเข้าป่า สามารถคอมเม้นต์ พูดคุย หรือแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ 🍃

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา