19 ม.ค. 2020 เวลา 08:10 • ความคิดเห็น
[จะคิดบวกหรือลบก็ขอให้จบที่'ศูนย์'] - ทุกอย่างจบเมื่อพบความจริง
ในชีวิตที่พบเรื่องวุ่นวายทุกข์ใจประจำวัน คนเราก็อาจจะหดหู่หมองเศร้าจนสะสมเป็นแนวความคิดหม่นหมองที่ยิ่งคิดยิ่งทุกข์หรือทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าลงซึ่งเราอาจจะเรียกกันทั่วไปว่า 'คิดลบ'.🤢
ดังนั้นบทความให้กำลังใจหรือสอนการดำเนินชีวิตทั่วไปจึงพยายามกระตุ้นให้คนกลับมา 'คิดบวก' คือมองหามุมดีๆในส่งที่ประสบและรู้สึกดีต่อทุกๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต. 😁
แต่..เราควรจะต้อง'พยายาม'คิดด้านบวกและสลายความคิดด้านลบเท่านั้นจึงจะทำให้มีชีวิตที่ดี สงบสุข ..จริงๆหรือ? 🤔
ส่วนตัวผมคิดว่า...อย่างนี้...
ครับ. ก็ตามหัวข้อคือผมคิดว่าจะคิดบวกหรือลบก็ไม่เป็นไรแต่ขอให้จบที่จุด 'ศูนย์' ซึ่งก็คือการคิดและยอมรับตามความเป็นจริงนั่นเอง ❤
คิดบวกก็ดีที่สุดแล้วนี่? คิดลบก็มีแต่ทุกข์ แล้วทำไมไม่ให้คิดแต่ด้านบวก?
แล้วจบที่ 'ศูนย์' คืออะไร??
ถ้าจะขยายความก็คงต้องขอแยกอธิบายลักษณะของความคิดบวกและลบตามที่ผมเข้าใจก่อนตามนี้ครับ:
➕[คิดบวก]
อย่างที่กล่าวมาตอนต้นว่าการคิดบวกคือมองหามุมดีๆในส่งที่ประสบ เช่น..
- เผลอทำของตกใส่นิ้วเท้าจนเจ็บ..ก็อาจจะคิดว่าโชคดีนะที่โดนแค่นิ้วเท้า นี่ถ้าโดนที่เท้าเลยอาจจะถึงขั้นเดินไม่ได้ลำบากกว่านี้อีก. 😅
- โดนแฟนบอกเลิก..ก็อาจจะคิดว่าก็ดีแล้วที่เค้ามาบอกตรงๆดีกว่าเค้าไปคบคนอื่นพร้อมๆกับคบกับเรา เราเองก็มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้. 🙂
..
จากตัวอย่างก็จะเห็นว่าการคิดบวกก็จะช่วยให้บรรเทาหรือปลดความทุกข์ใจรวมถึงช่วยสร้างกำลังใจให้ตัวเองมีแรงเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปได้อีกด้วย. ❤
..ก็ดีนี่ แบบนี้ก็ดีแล้ว?..
ครับ. การคิดให้ตัวเองมีกำลงใจดีๆในชีวิตต่อไปก็ย่อมดีทีเดียว..แต่..
ถ้าเรา'พยายาม'จะคิดบวกในทุกๆเรื่องซึ่งก็คือบางทีอาจจะต้องเสาะหามุมดีๆในเรื่องที่แย่มากๆซึ่งอาจจะลำบากหน่อยในสภาพจิตใจที่หดหู่..
เลือกมองทุกเรื่องแต่ในมุมดีๆจน'เสพติด'การมองด้านบวกชนิดที่อาจจะทำให้ใจยอมรับเรื่องทุกข์หนักที่เข้ามากระทันหันไม่ไหว..
คิดแต่ในมุมที่สบายใจจนชิน จนกลายเป็นคิดล่องลอย อิงอาศัยโชค จินตนาการ กรรมเก่า ให้เป็นตัวช่วยในการสร้างกำลังใจ..
คิดแต่ในมุมที่ดีจนลืมคิดถึงพื้นฐานความจริงว่าแต่ละเรื่องมีปัจจัยให้เกิด..
ขอย้อนกลับไปที่ตัวอย่างที่ยกมาอีกครั้งนะครับ:
- เผลอทำของตกใส่นิ้วเท้าจนเจ็บ..ถ้าคิดแค่ว่าโชคดีแล้วที่ไม่เจ็บหนัก 'แต่' ไม่ได้นึกเลยว่าเจ็บครั้งนี้เกิดเพราะเราเผลอ ไม่ระวังเอง!
ต่อไปถ้าเผลออีกก็อาจจะมีโอกาสได้เจ็บอีกหรือเจ็บหนักก็ได้ไม่ใช่รึ?
- โดนแฟนบอกเลิก..ก็ดีแล้วจริงๆที่ไม่ต้องโดนหลอกเป็นกิ๊ก 'แต่' ไม่ได้สอบถามหรือระลึกเลยว่าการเลิกกันครั้งนี้เกิดจากความผิดพลาดอะไร? เราทำตัวไม่ดีตรงไหน? อีกฝ่ายที่เราเลือกคบมาเป็นแฟนนั้นมีพฤติกรรมอะไรบ่งบอกมาก่อนที่ทำให้เราควรระมัดระวังต่อไปหากจะคบคนใหม่หรือไม่?
แล้วถ้ามีโอกาสคบคนใหม่มันจะไม่จบแบบเดิมรึ?
..
ตัวอย่างข้างต้นก็คงพอแสดงให้เห็นว่าถ้ามัวแต่คิดจะมองมุม'บวก'จนลืมมองหาความจริงและปัจจัยของเรื่องที่เข้ามากระทบ..แม้ชีวิตจะมีแรงเดินต่อไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องเดินต่อไปแบบลุ่มๆดอนๆก็เป็นได้....
แล้วถ้าหนักกว่านั้นล่ะ?
ลองดูตัวอย่างแบบ extreme กันครับ:
- ขับรถชนแต่ไม่เจ็บหนัก..โชคดีที่มีพระคุ้มครองนะเนี่ย! ถ้าเป็นคนอื่นตายไปแล้ว!
- ลงทุนแล้วเจ๊ง..การลงทุนก็มีความเสี่ยงแบบนี้แหละ รอบหน้าจะดีกว่านี้แน่! เราทำได้! หรือโลกนี้ก็ไม่แน่นอนแบบนี้แหละ ครั้งนี้พลาดแต่ครั้งหน้าได้แน่!
- ใช้ชีวิตคู่แต่ไปไม่รอด..เราก็ยังมีเพื่อนและพ่อแม่ที่รักเราอยู่ ชีวิตยังไปต่อได้ คู่เก่าเรานี่อาจจะศีลไม่เสมอกันก็ได้?
..
จากตัวอย่างข้างต้นนี่..ผมเชื่อว่าน่าจะมีคนคิดแบบนี้ในชีวิตจริงอยู่นะครับ.
ซึ่งคิดแบบนี้ก็ช่วยบรรเทาทุกข์ใจได้บ้างและอาจสร้างกำลังใจให้ใช้ชีวิตต่อไปได้จริงๆ..แต่แค่อ่านดูก็รู้ใช่มั้ยครับว่ามันไม่จบ?
ไม่จบคือ ถ้าคิดแบบนี้ก็แค่ได้เดินต่อไปแต่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปรับปรุงให้เดินได้ดีขึ้นเลย! สุดท้ายก็อาจได้แค่เดินล้มๆลุกๆแบบยิ้มๆไปล่ะครับ!
..
ท่านอาจจะคิดว่าที่ยกตัวอย่างมาบางอันนี่ไม่ใช่การ'คิดบวก'เลยเป็นเหมือนการเป็นความเชื่อหรือหลอกตัวเองมากกว่า..
ครับ. ตราบใดที่ไม่ได้คิดต่อไปถึงความจริงในมุมต่างๆของเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบแล้วผมก็คิดว่าการมองแต่มุมดีๆที่ตัวเองเชื่อเพื่อไปต่อไม่ใช่การคิดบวกที่สมบูรณ์..
แต่ด้วยคำว่า 'คิดบวก' และความพยายามหา 'มุมดีๆ' ก็อาจจะทำให้คนหลงไปกับคำว่า บวก, ดี หรือ สบายใจ จนลืมหรือหนีจุด 'ศูนย์' คือความจริงไปได้..
ดังนั้นถ้าคิดบวกก็ช่วยให้จบที่ 'ศูนย์' คือเหตุปัจจัยตามความจริงด้วยนะครับ!
➖[คิดลบ]
ความคิดด้านลบ แค่ชื่อก็ชวนหดหู่แล้ว..แล้วจะไปคิดมันทำไม!?
ผมจะลองเอาตัวอย่างจากตอนคิดบวกมาทำเป็นแนวคิดลบดูนะครับ:
- เผลอทำของตกใส่นิ้วเท้าจนเจ็บ..ซวยชะมัด! ยกของหนักแล้วยังต้องเจ็บตัวอีก! 😰
- โดนแฟนบอกเลิก..เรานี่มันไม่ดีขนาดนั้นหรือ จนเค้าต้องทิ้งเราไป? แล้วต่อไปเราจะอยู่ยังไง? ชีวิตที่ไม่มีเธอ 😭
..
ถ้าคิดลบแบบข้างต้น...มีแววจบครับ..คิดว่าไม่น่าใช่จบเรื่องแต่อาจจะเป็นจบชีวิตนะครับ! ..
อย่างที่ยกตัวอย่างก็คงช่วยยืนยันให้เราฝังใจว่าความคิดลบนี่มันแย่จริงๆ..
แต่..
ถ้าเราไม่จมกับความหดหู่แล้วลองมองต่อไปในความคิดลบนั้นดูหน่อยล่ะครับ?
- ตัวอย่างแรก: ยกของหนักแล้วยังต้องเจ็บตัวอีก! .. อืม..เรายกของหนักเลยไม่ค่อยมั่นคง พอประมาทหน่อยมันก็เลยร่วงใส่จนเจ็บสินะ คราวหน้าคงต้องระวังหรือหารถเข็นมาใช้ซะหน่อยจะได้ไม่พลาดอีก. 🤔
- ตัวอย่างที่สอง: เรานี่มันไม่ดีขนาดนั้นหรือ? .. อืม..นั่นสิ..เรามีอะไรไม่ดีรึ? ถ้ามีเราก็ต้องสำนึกและต้องปรับตัวซะแล้ว.
แล้วต่อไปเราจะอยู่ยังไง? ..อืม..ก็คงอยู่ต่อไปเหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเธอมาก่อนแล้วก็แถมการปรับตัวจากที่คิดได้เมื่อกี้ล่ะนะ. 🤔
..
ถ้าเรารู้จักสงบใจซักหน่อย แล้วเอาความคิดลบที่เกิดขึ้นซึ่งก็มักจะเป็นคำถามประมาณว่า:
ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้นะ?
ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรานะ?
มาพิจารณาแบบเป็นกลางตามความเป็นจริง เราก็อาจจะพลันพบเหตุและทางออกของปัญหานั้นๆ หรือแม้แต่เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปก็ได้นะครับ.
🗝จุดสำคัญคือ..
เราต้องไม่ 'คิดลบกับความคิดลบ' ซ้ำลงไปอีกครับ!
ความคิดลบเบื้องต้นมันอาจจะออกมาเบาๆก่อนแต่พอเราไป'ย้ำ'มันคือคิดซ้ำๆหรือเอาเรื่องแย่เก่าๆมาผสมรวมกันลงไป..มันก็จะหนักครับ!
ดังนั้นถ้าเราหัดรู้ตัวไว้หน่อย เวลาคิดลบแล้วรู้ทัน เราก็สามารถจะดึงเอาความคิดลบนั้นมาลงที่จุด 'ศูนย์' คือเหตุปัจจัยจริงๆที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะเข้าใจและแก้ไขต่อไปได้ครับ.
ถ้าทำได้แบบนี้ เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่คิดลบเบาๆเพื่อช่วยเตือนให้ตัวเองระมัดระวังในเรื่องต่างๆรวมถึงปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดซ้ำได้ครับ.❤
ดังนั้นถ้าคิดลบก็ช่วยให้จบที่ 'ศูนย์' คือเหตุปัจจัยตามความจริงด้วยนะครับ!
จากที่พูดถึงเรื่องคิดบวกและลบมาข้างต้นก็จะเห็นว่าจริงๆจะคิดไปทางไหน ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร 'ถ้า'..
เรา 'รู้ตัว' ว่ากำลังคิดอะไรและดึงมันไม่ให้ล่องลอยไปไกลแต่กลับมาลงที่ 'ศูนย์' คือความเป็นจริง. ❤
จริงๆฟังดูก็ไม่น่ายากหรือแปลกอะไร เพราะความจริงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราก็ต้องใช้ชีวิตไปตามนั้นอยู่แล้วนี่?
ครับ. มันก็จะไม่ยากหรอกครับ ถ้าเราไม่ติด 2 เรื่องนี้:
(1) 'ชอบสุขเกลียดทุกข์' : อันนี้เราๆทั้งหลายก็คงเป็นคล้ายๆกัน พอเจอเรื่องปวดหัวก็อยากจะหลีกหนี แต่ถ้าเป็นเรื่องดีๆก็อยากจะวิ่งเข้าใส่แถมอยากเกาะอยู่ตรงนั้นนานๆด้วย ...ซึ่งผมว่าเราก็คงพอจะรู้กันอยู่แล้วนะครับว่าชีวิตที่มีสุขสนุกตลอดกาล ไม่ต้องเจอเรื่องยากๆหนักๆหรือปัญหาอะไรเลย..มันไม่มี!
(2) 'ไม่ยอมรับความจริง' : ข้อนี้จริงๆเป็นภาพกว้างหรือภาคต่อจากข้อแรกครับ นั่นคือ..พออยากจะสุขแต่หนีทุกข์ เวลาเกิดปัญหาหรือเรื่องไม่ถูกใจก็เลยพยายามหนี/ไม่นึกถึง ไปหาเรื่องดีๆที่ตัวเองชอบประโลมใจแทน..สุดท้ายความจริงที่อยู่ต่อหน้าต่อตาก็เลยมองไม่เห็นไปจริงๆ ไม่อาจยอมรับความจริงได้ประหนึ่ง 'คนลืมตาที่มองไม่เห็น'...🙄
..
ไม่ว่าเราจะจมอยู่ในโลกมืดของความคิดลบ หรือลอยอยู่ในโลกสว่างเจิดจ้าของความคิดบวก ตัวเราเองก็ใช้ชีวิตอยู่ใน 'โลกนี้'..โลกแห่งความจริงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยธรรมชาติ.
ดังนั้นไม่ว่าเราจะคิดแบบไหน หากเราอยากมีชีวิตต่อไปอย่าง'สงบสุข' สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาหาจุดเริ่มต้น/จุดศูนย์ คือ 'ความจริง' ให้ได้นะครับ.
การจะสงบสุขได้ไม่ใช่แค่ 'มอง' ความจริงแต่ต้อง 'ยอมรับความจริง' ได้ด้วย 'ใจจริง' จึงจะเป็นไปได้.
ซึ่งแน่นอนว่าบางทีก็ต้องใช้เวลา.. โดยเราก็ต้องเริ่มจากการ 'มอง' ตามความจริงไปก่อน จนเมื่อใจเรา 'เห็น' มากพอ ใจที่เคยดื้อจะหนีจากความจริงก็จะค่อยๆสยบและยอมรับความจริงได้ในที่สุด.
สุดท้ายเราก็จะ'สงบสุข' ที่ไม่ใช่ความสุขแบบที่ต้องไปวิ่งหาหรือเกาะเกี่ยวไว้ เป็นแค่ใจเบาๆที่ไม่ได้ถืออะไรไว้และไม่ถูกสิ่งใดผูกมัดครับ ❤
ขอให้ทุกท่านได้เห็นและยอมรับความจริง..
และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนะครับ..
LIP
LIVE IN PEACE
❤👨‍👩‍👧‍👦👨‍👩‍👧‍👦👨‍👩‍👧‍👦❤
โฆษณา