2 ก.พ. 2020 เวลา 01:04 • ปรัชญา
เพราะติติง จึงเติบโต
ใคร ๆ ก็ชอบคำชมเชย
ใคร ๆ ก็ไม่ชอบคำติติง
แต่ถ้าเราไม่ถูกติติง
เราจะไม่เติบโต
cr.unsplash
ตอนเด็กๆเราจะชอบคุณครูใจดี คุณลุง คุณป้าที่ใจดีกับเรา ตามใจเรา
แต่เราจะไม่ชอบครูที่ดุ ที่ตี ที่เข้มงวด
กวดขัน ไม่ชอบญาติที่คอยพร่ำบ่นจ้ำ
จี้ จ้ำไชเรา ให้เราทำแบบนั้น แบบนี้
พอเมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ใน
ทุกครั้งที่เราประสบพบเจอปัญหา
ชีวิตและการทำงาน เราพบว่าเราได้
ใช้ในสิ่งที่ คนทั้งหลายที่เราไม่เคย
ชอบตอนเด็ก ๆ สอนไว้ทั้งนั้นเลย
เราจึงจำคำสอน คำตักเตือน ติติง
ได้แม่นยำ กว่าคำชมเชย เสียอีก
ผู้หลัก ผู้ใหญ่เคยบอกว่า
คนที่ไม่เคยถูกเตือน ถูกติง ก็คือคน
ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะคนที่ทำ
งาน หนีไม่พ้นหรอกที่จะต้องถูกติติง
จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า
คราวนี้มันอยู่ที่คน ๆ นั้น จะเลือกฟังแบบไหน ..
👂เลือกฟังเป็นความรำคาญ
หรือ
👂เลือกฟังเป็นความรู้
อย่าให้อคติที่มีต่อคำติติง เป็นกำแพงกั้นขวางการพัฒนาตัวเอง
cr.unsplash
โบราณท่านว่า "กระท้อนจะหวานได้ต้องโดนทุบเสียก่อน"
คนเราก็เช่นกัน กว่าจะเก่ง กว่าจะแกร่ง กว่าจะเชี่ยวชาญ ชำนาญในเรื่องใดๆ ล้วนต้องผ่านคำติ มามาก
กว่าคำชม
💐คำชม ฟังแต่พอดี หลงระเริงไปก็จะหยุดพัฒนา เพราะคิดว่าตัวเองนั้นดีแล้ว เก่งแล้ว
⚒️คำติ ฟังแล้ว วางใจเป็นกลาง เอามา
พินิจ พิเคราะห์ดูว่าเรามีอะไรขาดตก
บกพร่องตามที่เขาติติงไหม ถ้ามีจะแก้
ไขอย่างไร
แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้เงี่ยหูฟังแม้เพียงเสียงม้าตัวสุดท้ายปลายทัพ ร้องเตือน
cr.unsplash
อันคำชม ฟังหลายที มีโทษมาก
จะลำบาก หากประมาท พลาดทีหลัง
มีคนชม ต้องคอยตั้ง สติฟัง
เดี๋ยวพลาดพลั้ง เผลอลืมตัว มัวทนง
อันคำติ นั้นมีคุณ ค้ำจุนจิต
ให้คอยคิด ปรับปรุงตัว ไม่มัวหลง
ติเพื่อก่อ ต่อความดี ที่เจาะจง
เราจะคง ในตัวตน คนจริงใจ
ขอบคุณนักอ่านที่รักทุกท่าน
ติดตามอ่านบทความดีๆได้ที่
โฆษณา