29 ม.ค. 2020 เวลา 14:55
อ่านหนังสือ "What the most successful people do before breakfast" แล้วอิน เลยอยากเรียบเรียงสาระสำคัญ เพื่อให้เอาไปใช้จริงได้เลยทันที + ตัวอย่างที่ไปหามาเพิ่มเติม
ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรใหญ่ๆ มักจะตื่นกันเช้ามากๆครับ
จาก survey ของ Yahoo! Finance มีข้อมูลน่าสนใจ เช่น
- Tim Cook (CEO ของ Apple) ตื่นนอนทุกเช้าในเวลาตีสี่ครึ่ง (4.30) เพื่อทำการเช็คเมล์ ตีห้าก็จะเข้ายิม เล่นฟิตเนส เสร็จแล้วถึงจะไปทำงาน
(Tim Cook เป็นพนักงานคนแรกๆที่มาทำงานที่ Apple ในแต่ละวัน)
1
- Howard Schultz (อดีต CEO ของ Starbucks) ตื่นนอน 4.30 เช่นกัน และมีกิจกรรมขี่จักรยานคู่กับภรรยา ก่อนมาถึงออฟฟิศเวลา 6 โมงเช้า
1
- Paul Polman (อดีต CEO ของ Unilever) ตื่น 6 โมงเช้าและมาวิ่งที่ออฟฟิศเป็นประจำทุกวัน
- Andrea Jung (อดีต CEO ของ Avon) ตื่นตี 5 ทุกวันและต้องเข้ายิม ออกกำลังกายทุกเช้าก่อนทำงานในเวลา 8 โมงเช้า
- อดีตประธานาธิบดี George Bush ผู้พ่อ ตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาวิ่ง ก่อนจะไปถึงออฟฟิศในเวลา 6 โมงเช้า ในขณะที่ George W. Bush ผู้เป็นลูกในเวลาตี 4 เหมือนกัน และจะเข้าไปทำงานในเวลา 6.45 หลายครั้ง Bush มักจะนัดประชุมงานในเวลานี้!!
สาเหตุที่ผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ตื่นเช้า เพราะเวลาเช้า เป็นเวลาที่สมองสดชื่น ปลอดโปร่ง ไม่โดน distract จากเพื่อนร่วมงาน หรือจากกิจกรรมอื่นๆ เวลาเช้า จึงเป็นเวลาที่ productive ในทุกๆวัน
คนที่ประสบความสำเร็จ/ผู้บริหารระดับสูง เค้าสร้างนิสัยในตอนเช้าอย่างไร ถึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง (High productivity)
เค้าใช้เวลาช่วงเช้าทำงานสำคัญอยู่ 3 แกนหลักครับ คือ
1. แกนของอาชีพ หน้าที่การงาน - วางแผนสำคัญๆและโฟกัสงาน ทำ project สำคัญๆ
2. แกนของความสัมพันธ์ - เช่นกับคู่สมรส ถ้าทั้งคู่ทำงานหาเงินให้ครอบครัว ก็มักจะมีเวลาคุยกันน้อย เพราะเหนื่อยจากงาน กลับบ้านมาก็มักจะบ่นเรื่องงาน หรือพูดถึงปัญหาที่ทำงาน แต่เวลาช่วงเช้า เป็นโอกาสที่ดีในเรื่องของการถามสารทุกข์สุขดิบ วางแผนชวนกันไปเที่ยว มีบทสนทนาชวนสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมากกว่าช่วงอื่นๆ
1
3. แกนของตัวเอง - ผู้บริหารระดับสูงมักใช้เวลาช่วงเช้าในการออกกำลังกาย และมักทำเป็นประจำ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้ดี (ทำงานหนัก ใช้สมองเยอะ ถ้าไม่แข็งแรง ก็อาจจะเจ็บป่วย ร่างกายทรุดโทรมได้ง่าย)
คนเราจะมี willpower (อำนาจจิต) ไม่เท่ากัน
เมื่อเราทำกิจกรรมใด เช่น ออกกำลังกาย ทำงาน ตัดสินใจในที่ประชุม ก็จะใช้ willpower ไปมากน้อยต่างกัน
1
อะไรที่ต้องใช้ความพยายามมาก ก็ใช้ willpower มาก แต่ถ้ากิจกรรมนั้นกลายเป็นนิสัยเมื่อไหร่ willpower ที่ใช้จะน้อยลงมาก
1
เช่น ตอนเล่นฟิตเนสใหม่ๆ เราจะเหนื่อยมาก อาจกลายเป็นเบื่อๆเซ็งๆด้วย (เสีย willpower ไปมาก)
แต่พอเราเล่นไปนานๆจนกลายเป็นนิสัย เราจะไม่รู้สึกเหนื่อย เบื่อ เซ็ง อีกต่อไป
1
หรือจากคนนอนดึก แต่ต้องตื่นเช้า ช่วงแรกก็คงทรมานที่จะต้องฝืนใจตื่น
แต่เมื่อตื่นเช้าบ่อยๆจนกลายเป็นนิสัย เราก็จะไม่รู้สึกว่าเราทรมานฝืนใจ เมื่อต้องตื่นเช้าอีก
เพื่อสร้างนิสัยที่ดีในตอนเช้า มีขั้นตอนที่ทำได้ง่ายๆอยู่ 5 ขั้นตอน
1. จับเวลาดูว่า แต่ละกิจกรรมของตัวเองในแต่ละวัน ใช้เวลานานเท่าไหร่ เช่น แปรงฟัน 5 นาที อาบน้ำ 30 นาที แต่งตัว 1 ชั่วโมง กลับมาบ้านดูละครไป 1 ชั่วโมง ดูทีวีเรื่อยเปื่อย 3 ชั่วโมง เล่น facebook อีก 1 ชั่วโมง แล้วค่อยนอน
ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินดูว่า เวลาที่เสียไปจริงๆในแต่ละวัน เราทำอะไร ทำนานแค่ไหนบ้าง
แนะนำให้ลอง track ทุกวันเป็นระยะเวลาซัก 1 อาทิตย์ครับ เพื่อหาค่าเฉลี่ย
2. ตั้งเวลาในฝัน ที่เราอยากทำให้ได้ เช่น อยากให้อาบน้ำลดจาก 30 นาที เหลือ 10 นาที แต่งตัว 1 ชั่วโมง เหลือ 15 นาที ดูทีวีจาก 4 ชั่วโมง เหลือ 2 ชั่วโมง เล่น facebook เหลือ 30 นาทีต่อวันก็พอ ขั้นตอนนี้เราจะได้เห็นว่า เรามีเวลาที่จะใช้ทำอย่างอื่นเพิ่มเติมเท่าไหร่
ใส่กิจกรรม 3 แกนลงไป ว่าจะแบ่งให้งานเท่าไหร่ ให้ความสัมพันธ์เท่าไหร่ และให้ตัวเองเท่าไหร่
ด้วยเวลาที่ใช้ไปเท่าเดิม เราจะได้ทำกิจกรรมที่เคยทำครบหมด พร้อมกับสร้างนิสัยที่ดี+เพิ่ม productivity ให้ตัวเอง
3. เขียนเวลาที่เป็นไปได้ โดยเทียบกับ เวลาที่ทำจริงในแต่ละวัน (ข้อ 1) กับ เวลาในฝัน (ข้อ 2) เพื่อหาจุดลงตัวที่คิดว่าเราทำได้จริงๆ สำหรับกิจกรรมต่างๆ
เราจะได้เห็นว่า เราใช้เวลากับอะไรแบบไม่สมเหตุสมผลบ้าง
เช่น เราตื่นสาย เพราะนอนดึก เนื่องจากใช้เวลาดูทีวีและเล่น facebook มากเกินไป ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า หมดแรงทำงานในเวลากลางวัน
4. สร้างกิจกรรมให้เป็นนิสัย
กิจกรรมบางอย่างอาจจะใช้ willpower สูง ในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ ติดต่อกันไปนานๆสุดท้ายก็จะเปลี่ยนกิจกรรมนั้นเป็นนิสัย
เราอาจจะใช้วิธีปรับเปลี่ยนที่ละเล็กที่ละน้อย เพื่อให้ร่างกายปรับตัว และไม่เสีย willpower มากนักในแต่ละวัน
เช่น เดิม ตื่น 8 โมงเช้า แต่อยากตื่น 6 โมงเช้า อาจจะเริ่มจากตื่นเร็วกว่าเดิม 15 นาทีไปซักพัก แล้วค่อยๆปรับเวลาลงเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมาย 6 โมงเช้า ที่ต้องการ
แนะนำให้เปลี่ยนนิสัยที่ละอย่าง ร่างกายจะได้ไม่สับสน และสร้างกำลังใจให้ตัวเองในตัว
5.ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เมื่อกิจกรรมมีการเปลี่ยนแปลง ก็สามารถเพิ่ม ลดได้
ผ่านปีใหม่มาจนจะหมดเดือนแรกแล้ว ผมได้นิสัยการนอนหลับเร็ว จากคนไม่ค่อยหลับเลย ตี 2 ตี 3 จนเช้าก็มี
กลายเป็นคนตื่นเช้า ตี 5- 6 โมง จากนอนตื่นสายมาเป็นสิบปี
ลด screen time ในการใช้งานมือถือ เหลือ 6 ชั่วโมง จากเดิม ใช้งานเฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง
ทำ Fasting แบบ 16/8 ติดต่อกันทุกวัน
เดินวันละ 10,000 ก้าว หาเรื่องเดิน จากคนที่ไม่ค่อยจะขยับร่างกายไปไหน
อาจจะไม่เยอะสำหรับคนอื่น แต่สำหรับตัวเอง น้ำหนักลดเยอะสุดในรอบ 10 ปี ถือว่า มีความคืบหน้าพอใช้ได้ 😅
โฆษณา