1 ก.พ. 2020 เวลา 02:51 • ข่าว
ปัญหาของ “ภาวะผู้นำ”
สะท้อนความสะเปะสะปะ
รับมือ “ไวรัสอู่ฮั่น”
อันที่จริงหากมองการรับมือโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบ “ความสับสน” มากมาย แม้เจ้าหน้าที่จะมีความตั้งใจ มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการรับมือกับโรคระบาดมากเพียงใด แต่ก็ยังมีปัญหาจากสิ่งที่เรียกว่า “ภาวะผู้นำ” การสื่อสาร และการประเมินผลที่ “ผิดพลาด” อยู่หลายประการ
หากจำกันได้ หลังจากที่จีนประกาศว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” สามารถติดต่อระหว่าง “คนสู่คน” วันที่ 20 ม.ค. และนำมาสู่การ “ชัตดาวน์” เมืองอู่ฮั่น วันที่ 22 ม.ค. จะพบว่ารัฐบาลไทย “นิ่ง” กว่าที่ควรจะเป็น
เพราะการที่จีนประกาศปิดอู่ฮั่น นั่นหมายความว่าสถานการณ์น่าจะเลวร้าย และเริ่มมีการแพร่ระบาดไปยังเมืองอื่น และประเทศอื่นแล้ว โดยจุดหมายปลายทางนอกประเทศที่สำคัญ หนีไม่พ้นประเทศไทย ที่มีการเดินทางก่อนเทศกาลตรุษจีนเป็นจำนวนมาก นั่นหมายความว่า ไม่ว่ากรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ล้วนเป็นจุดเสี่ยงของไวรัสชนิดใหม่ทั้งนั้น
แต่รัฐบาลไทย กลับยังนิ่งเฉย และยังคงเชื่อมั่น “พี่ใหญ่” อย่างรัฐบาลจีน ว่าจะจัดการได้ มาตรการที่ออกมาจึงมีเพียงการกวดขันด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่สนามบิน ซึ่งต้องรองรับ “ทัวร์จีน” มหาศาลเท่านั้น เพราะการออก “ยาแรง” อะไรไป อาจกระทบกับเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลักได้
เพราะฉะนั้น เช้าวันที่ 23 ม.ค. ไม่ถึง 12 ชั่วโมง หลังจากรัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินเชียงใหม่ ก็คือการ “เชิดสิงโต” ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างอบอุ่น
ไม่มีการ “บล็อก” ไม่มีการ “แบน” คนจากจีน หรือแม้แต่คนในมณฑลอู่ฮั่น มีเพียงการวัดไข้นักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น ไม่ได้ประเมินความเสี่ยงเลยว่าโรคนี้มีโอกาสที่จะระบาดต่อในไทย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีงานวิจัยตีพิมพ์ลงในวารสาร The Lancet และมีการแถลงจากทางการจีนว่าโรคนี้ สามารถระบาดต่อได้ โดยไม่มีอาการไข้ ซ้ำยังใช้เวลาฟักตัวยาวนานสุดถึง 14 วัน คนใน “กรมควบคุมโรค” จึง “เหวอ” กันเป็นแถว
เพราะที่คุยกันว่า สามารถรับมือโรคระบาดด้วยฝีมือฉกาจฉกรรจ์ เป็นอันดับที่ 6 ของโลกนั้น ล้วนเป็นไปด้วยบริบทเดิมเช่น โรคซาร์ส ซึ่งระยะฟักตัวน้อยกว่า และมีอาการไข้ชัดเจน สามารถคัดกรองได้ง่ายกว่า ที่สำคัญคือในวันนั้นปริมาณนักท่องเที่ยวจีน ไม่ได้มากถึง 8.5 ล้านคนต่อปี แบบในปัจจุบัน
หรือโรคเมอร์ส ที่แม้จะมีความรุนแรงกว่า แต่ก็มาจากนักท่องเที่ยวในตะวันออกกลาง ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่าหลายสิบเท่า
เพราะฉะนั้น วันที่ได้รับข้อมูลยืนยันว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” สามารถแพร่ต่อโดยไม่มีอาการไข้นั้น คนทั้งกระทรวงสาธารณสุข ล้วนรู้เป็นการภายในว่าจะ “หนัก” กว่าที่คิด
เพราะเจ้าหน้าที่ด่านที่มี ล้วนไม่ได้มีมากพอกับการคัดกรองคนจีนที่มากขนาดนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าจีน ไม่ได้มีเที่ยวบินเข้าสนามบินหลักอย่างสุวรรณภูมิ เชียงใหม่ ภูเก็ต อย่างเดียว แต่ในสนามบินกระบี่ สนามบินอู่ตะเภา หรือเชียงราย ก็ล้วนมีเที่ยวบินจากหลายเมืองของจีนบินเข้าเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมชาวจีน ที่เดินทางผ่านเข้ามาทางด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ด่านแม่สาย จ.เชียงราย หรือด่านสะเดา จ.สงขลา หรือพวกที่ขับรถเข้ามาเองทาง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ จะไม่สามารถคัดกรองโรคได้หมด
ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ด่านฯ นอกจากจำนวนไม่เพียงพอแล้ว เครื่องมือหลายอย่างยังไม่พร้อม แม้แต่ “หน้ากากอนามัย” สำหรับเจ้าหน้าที่ ก็ยังมีไม่เพียงพอ ในเวลาที่หน้ากากอนามัยหายาก ราคาแพงถึงอันละ 20 บาท เจ้าหน้าที่ ก็ขาดแคลนหน้ากากไปด้วย
ขณะเดียวกัน ห้องแล็บในการตรวจเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ก็มีเพียงไม่กี่แห่ง โดยปัจจุบัน ใช้แล็บของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งทั่วประเทศมีเพียง 14 แห่งเท่านั้น ที่สามารถตรวจคัดกรองโรคได้
เช่นเดียวกับโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ ก็ไม่ใช่ทุกจังหวัดที่จะพร้อมรับผู้ป่วยโคโรนาไวรัส 2019 เพราะต้องเตรียมทั้งแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และห้องสำหรับแยกผู้ป่วยที่ต้องสงสัยออกไปเด็ดขาด รวมถึงต้องใช้ “แรงคน” ของเจ้าหน้าที่ในการติดตาม “ผู้ต้องสงสัย” ว่าจะใกล้ชิดกับผู้ที่ “อาจป่วย” อีก
ลำพังงานในโรงพยาบาลก็แน่น ก็หนักอยู่แล้ว ถามว่าประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก มีเจ้าหน้าที่ในการจัดการกับโรคระบาดโดยเฉพาะหรือไม่? คำตอบก็คือไม่มี ใช้คนๆ เดียวกับที่ทำงานในโรงพยาบาลนั่นแหละ
การระบาดด้วยอัตรา 19 ราย ในขณะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย และน่าจะมีอีกอย่างต่อเนื่อง..
ที่ต้องพูดถึงอีกอย่างคือ “ภาวะผู้นำ” ซึ่งหายไปอย่างชัดเจน หากจำกันได้ ในช่วงที่ไวรัสอู่ฮั่นเริ่ม “พีค” ในช่วงต้น แทบไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ ในการจัดระบบ Single Command เพื่อรวมศูนย์การสั่งการให้เป็นหนึ่งเดียวใน
ระดับ “รัฐบาล”
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบกรมควบคุมโรค กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพาคนไทย ออกจากอู่ฮั่น และมณฑลหูเป่ย
ทว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้เลือกทำ ก็คือตั้ง “คณะกรรมการ” ในระดับกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น โดยให้คนระดับ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป เป็น “หัวหน้าทีม” และให้ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ดูแลศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ขึ้นตรงกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย
ทั้งที่เรื่องนี้ เกี่ยวพันกับหน่วยงานอื่นๆ นอกกรมควบคุมโรคอีกมาก และควรจะเป็นคนระดับนายกรัฐมนตรี หรือ รองนายกฯ นั่งบัญชาการ สั่งการข้ามกระทรวง แต่เรื่องนี้ก็ไม่เคยเกินขึ้น...
ช่วงแรก นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะ “หายหน้า” ไปตลอดช่วง เสาร์ - อาทิตย์ ที่ 25 – 26 ม.ค. ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุข ในการเตรียมความพร้อม
ส่วน อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขนั้น กลับให้สัมภาษณ์ว่าโรคโคโรนาไวรัส 2019 ไม่น่ากังวล เป็นเหมือนไข้หวัดธรรมดา พร้อมกับท่องคาถา กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
หากจำกันได้ เวลานั้น ประเทศอื่นเริ่มมีความคืบหน้าในการ “จำกัด” นักท่องเที่ยวจีน การยกเลิกวีซ่า รวมถึงเตรียมความพร้อมในการนำพลเมืองออกจากประเทศแล้ว
แต่สำหรับไทย พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาอีกที ในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. พร้อมกับบอกว่า “เชื่อมั่น” จีน ว่าจะสามารถจัดการได้ และคนไทยในอู่ฮั่นทุกคนสุขสบายดี ทั้งที่มีอีกหลายคนตกหล่น และเริ่มขาดแคลนอาหาร ส่วนอนุทิน ก็ยืนยันว่าไม่ต้องปิดประเทศ เพราะเหตุการณ์ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่คิด
ซ้ำมาตรการทั้งหลายของรัฐบาลนี้ กลับไปกระตือรือร้นกับการไปไล่จับคนแชร์ “เฟคนิวส์” เรื่องโคโรนาไวรัส ทั้งที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาในช่วงภาวะตื่นตระหนก ที่คนจะแชร์เรื่องอะไรที่ตัวเองหวาดกลัว และเรื่องนี้ ก็เกิดขึ้นในทุกประเทศ
น่าเสียดายที่แนวทางของรัฐบาลคือการ “ปฏิเสธ” ความจริง แม้จะรู้ว่าความจริง จะร้ายแรงกว่าที่คิดก็ตาม
กว่าจะมีคณะกรรมการระดับ “รองนายกฯ” นั่งเป็นประธาน ก็ล่วงมาถึงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีคนขับแท็กซี่ติดเชื้อจาก “คนสู่คน” ครั้งแรกในประเทศ และเวลาเดียวกับที่องค์การอนามัยโลก ประกาศให้โรคนี้เป็น “ภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ”
ทั้งหมดนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะเชื่อ “ภาวะผู้นำ” ที่ชัดขึ้นได้หรือไม่ เพราะในขณะที่สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรปประกาศ “แบน” ไม่ให้ผู้ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ ไทย ก็ยังไม่กล้า แม้แต่จะยกเลิก Visa on Arrival เพราะกลัวจะกระทบ “ความสัมพันธ์อันดี” ที่มีต่อจีน
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และด้วย “คาแรกเตอร์” ของโรคนี้ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ปลายทาง ไทยจะมีผู้ติดเชื้อรวมเท่าไหร่..
ด้วยเหตุปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงต้องขอให้คนไทยช่วยกัน “ภาวนา” ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่ทำงานหนักกันอยู่แล้ว สามารถทำงานกันได้อยู่รอดปลอดภัย และรักษาสุขภาพ จนสามารถผ่านช่วงเวลาวิกฤตนี้ไปได้
โฆษณา