6 ก.พ. 2020 เวลา 03:09 • ประวัติศาสตร์
พระอัสสชิเถระ
พระอัสสชิเถระเป็นบุตรพราหมณ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ บิดาท่านเป็นหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ทั้ง 8 ที่ได้รับเชิญไปทำนายพระลักษณะ และขนาดพระนามเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช โกณฑัญญะพราหมณ์คนเดียวในจำนวน 8 คน ครั้งนั้นผู้เชื่อมั่นว่าเจ้าชายจะได้ตรัสรู้แน่นอน จึงชวนท่านอัสสชิพร้อมสหายไปเฝ้าปรนนิบัติ ขณะเจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันเรียกว่าทำดงคศิริ)
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา ท่านอัสสชิจึงได้ติดตามโกณฑัญญะหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และหลังจากพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จไปแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร(ว่าด้วยส่วนที่สุด 2 อย่างคือมรรคมีองค์ 8 และอริยสัจ 4)โปรดท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้บวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับสหายทั้ง 4
หลังจากบรรลุพระอรหันต์แล้ว พระอัสสชิเถระได้เป็นหนึ่งในจำนวนพระสาวก 60 องค์ ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนารุ่นแรก ท่านได้ไปสั่งสอนประชาชนตามคามนิคมต่างๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือนจึงไปยังเมืองราชคฤห์ ซึ่งในขนาดนั้นพระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพ์พิสารทรงสร้างถวาย
ท่านออกบิณฑบาตในเช้าวันหนึ่งในเมืองราชคฤห์ อิริยาบถอันสงบสำรวมขณะเดินบิณฑบาตอยู่ได้ประทับใจมาณพหนุ่มนามว่าอุปติสสะผู้พบเห็นเข้าโดยบังเอิญ
อุปติสสะผู้นี้มีสหายชื่อโกลิตะ เป็นศิษย์อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรหนึ่งในจำนวน”ครูทั้งหก”ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น อุปติสสะและโกลิตะเห็นความไม่มีแก่นสารแห่งคำสอนของสำนักตน จึงตกลงกันเงียบๆ ว่าจะแสวงหาแนวทางใหม่ ถ้าใครพบก่อนก็จะบอกอีกฝ่ายหนึ่งทราบ
อุปติสสะคิดว่าตนได้พบผู้ที่ควรเป็นอาจารย์ของตนแน่แล้ว จึงติดตามท่านไปห่างๆ ครั้นได้โอกาส ขณะพระเถระนั่งฉันภัตตาหารอยู่ จึงเข้าไปนมัสการเรียนถามธรรมะจากท่าน พระเถระออกตัวว่าท่านบวชไม่นาน ไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารได้ อุปติสสะกราบเรียนท่านว่าแสดงแต่โดยย่อก็ได้พระเถระจึงกล่าวคาถาอันแสดงถึง”แก่น”แห่งอริยสัจ 4
อุปติสสะได้ฟังธรรมเพียงแค่นี้ก็ได้”ดวงตาเห็นธรรม”(เกิดธรรมจักษุ) คือ บรรลุโสดาปตัวติผลจึงรีบไปบอกแก่โกลิตะผู้เป็นสหาย โกลิตะได้ฟังคาถานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเช่นเดียวกันทั้งสองจึงไปชวนอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรไปบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้า เมื่ออาจารย์ปฏิเสธ จึงได้พากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ณ วัดเวฬุวัน
พระอัสสชิเถระไม่ปรากฏว่าท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านใดเป็นพิเศษ เพราะไม่มีชื่อในทำเนียบเอตทัคคะ(ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ท่านเป็นพระที่ภาษาชาวบ้านสมัยนี้ก็เรียกกันว่า ”สมถะ” คือ ชอบอยู่สงบเพียงลำพัง ท่านมีบุคลิกน่าเลื่อมใส สำรวมอินทรีย์ “การคู้ การเหยียด ซึ่งมือและเท้า การเหลียวดูเป็นไปอย่างสงบสำรวม น่าเลื่อมใสยิ่ง” ดังความคิดของ อุปติสสะเมื่อเห็นท่านเป็นครั้งแรก บุคลิกภาพเช่นนี้เป็น ”สื่อ” ที่ชักจูงให้ผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์เข้ามาสัมผัสรสพระธรรมได้เป็นอย่างดี
พิจารณาอีกมุมหนึ่ง พระอัสสชิเถระเป็นนักสอนศาสนาที่เชี่ยวชาญมิใช่น้อย การประกาศธรรมมิได้หมายความว่าจะต้องพูดเก่ง พูดได้ยืดยาว หากรู้จักพูด รู้จักสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้อุปนิสัยของผู้ฟังด้วยแล้ว แม้แสดงเพียงสังเขปก็สัมฤทธิผล ดังที่ท่านได้แสดงแก่อุปติสสมาณพ
เพราะเหตุนี้เอง ท่านจึงได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงสุดจากอุปติสสะ ซึ่งต่อมาคือ พระสารีบุตรเถระ เพราะเมื่อท่านทราบว่าพระอัสสชิเถระพำนักอยู่ ณ ทิศใด พระอัครสาวกจะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น เพื่อถวายความเคารพ “อาจารย์” ของท่าน
ไม่ปรากฏว่าพระอัสสชิเถระมีอายุพรรษาเท่าใด ท่านนิพพานไปเงียบๆ โดยไม่มีกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์เล่มใด ในส่วนที่ไม่กล่าวถึงบ่อยนัก แต่ไม่มีใครลืมได้ คือคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทำไว้แก่พระพุทธศาสนา โดยได้เป็นผู้ชักชวนให้อุปติสสะและโกลิตะมาบวชซึ่งภายหลังทั้งสองท่านได้เป็นพระอัครสาวกและเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา