10 ก.พ. 2020 เวลา 02:13 • ความคิดเห็น
บทเรียนจากภาพยนตร์ Joker
โจ๊กเกอร์คือ คนดี ที่เป็นเหยื่อของสังคมอันเลวร้าย? หรือ Loser เดนตายที่ใช้สภาพสังคมเป็นข้ออ้าง?
สภาพสังคมที่เลวทราม สามารถ justify การกระทำอันโหดร้ายของคนได้หรือไม่?
เมื่อดูภาพยนตร์เรื่อง Joker นี้จบ
คุณ ”รู้สึก” ว่า โจ๊กเกอร์ เป็นตัวละครประเภทไหนครับ?
*** Heavy Spoiler Content ***
Joker เป็นภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์
เป็นภาพยนตร์ที่หลายๆคนชอบ และหลายๆคนก็เกลียดไปเลย
ในหมู่คนที่ชอบหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักอันหนึ่ง คือมันสะท้อนใจ(resonate)กับความรู้สึกของหลายๆคน ทีาเป็นแค่คนธรรมดา และต่างเคยประสบกับความไม่เป็นธรรม ประสบกับการถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจ ที่กดหัวพวกเราไว้ ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม
สำหรับผม Joker คือเรื่องราว ที่เกิดขึ้นได้จริง ในสภาพแวดล้อมที่ปล่อยให้มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากเกินไป
หลังดูจบ ผมไม่ได้คิดว่าตัวหนังมัน Dark หรือชวนให้อารมณ์หม่นหมอง ไม่ได้ชวนให้รู้สึกอารมณ์รุนแรง ดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ใด้ชวนให้มีอาการจิตตก โลกมืด เศร้าซึม หรือกระตุ้นอาการความซึมเศร้าแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะ นี่เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวของคนจนๆคนหนึ่ง ที่มีโอกาสในที่ชีวิตอันจำกัด ด้วยเพราะมีโรคประจำตัวทางระบบประสาทคอยคุกคาม ทำให้เขาเป็นชายต่ำต้อย ไม่มีใครเข้าใจ มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น ท่ามกลางสังคมที่เหลื่อมหล้ำและระบบความยุติธรรมล้มเหลว
1
ดังที่มีให้เราพบเห็นได้ทั่วไป ในโลกใบนี้
1. The Inequality and Violence : ความรุนแรงในสังคมอันเหลื่อมล้ำ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้อัตราอาชญากรรมเพิ่มขึ้น คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ความเหลื่อมล้ำนี้ไม่ได้หมายรวมถึงเพียงแค่รายได้ต่อหัว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โอกาสทางการแพทย์ โอกาสการมีอาชีพ การได้รับความยุติธรรมจากรัฐ
หนังเรื่องนี้มี Setting เบื้องหลังคือ Gotham City ซึ่งผู้กำกับพยายามคุมโทน แสดงให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำในเมืองได้อย่างชัดเจน ดังเห็นได้จากสภาพบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงสวยงาม คฤหาส โรงแรมหรู หนุ่มสาวฐานะดี แต่งตัวหรูหรา แต่ที่มีมากไม่แพ้กันคือกลุ่มคนไร้บ้าน คนยากคนจน และมุมที่เต็มไปด้วยขยะสกปรก ไม่น่าพิศมัย
Gotham City จึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ความโกลาหล ความไม่ลงรอยกันระหว่างชนชั้นล่างและเหล่า Elites เป็นเมืองที่แม้จะยังดูสงบในตอนต้น แต่ความรุนแรง ความเคียดแค้นในใจผู้ถูกกดขี่ ก็พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเมื่อ รอแค่เมื่อไหร่จะมีคนมา “ลั่นไก”
2. The worst part about having a mental illness is people expect you to behave as if you don’t : สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ คือผู้คนรอบข้างมาคาดหวังว่าคุณต้องใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ
หนังเปิดเรื่องมาด้วยการแนะนำให้เรารู้จักกับ Arthur Fleck ชายวัยกลางคน ที่กำลังนั่งฉีกยิ้ม พร้อมคราบน้ำตา ก่อนจะออกไปรับงานแสดงเป็นตัวตลก เราเห็นแววตาอันเศร้าสร้อยของเขา และเห็นรอยยิ้มปลอมๆที่เขาต้องทำตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น
แม่ของเขา – Penny Fleck – สอนให้เขาทำหน้ายิ้มไว้เสมอ (Wear a happy face) และเขาก็ทำมันอย่างเคร่งครัด
Arthur ป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถคุมเสียงหัวเราะของตัวเองได้ เขามักจะโพล่งหัวเราะออกมาในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
อาการหัวเราะแบบไม่ถูกกาละเทศะนี้เป็นบ่อยจนเขาต้องพกการ์ดติดตัวไว้ ให้คน ”ปกติ” ได้รับรู้ว่าเขาไม่ได้แกล้ง หรือเป็น “บ้า” มันเป็นโรคทางระบบประสาทจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนก็ไม่เข้าใจ และมักมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด เชิงรังเกียจ เกิดเป็นการตีตราบาปทางสังคม (Social Stigma) ว่าเขาเป็นคนบ้า และไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ จึงไม่แปลกใจที่ชีวิตของ Arthur นั้น ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน
3. She says I was put here to spread joy and laughter : แม่บอกฉันอยู่เสมอว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างความสุขและเสียงหัวเราะ
ในตอนต้น หนังแสดงให้เราเห็น Arthur ในแง่มุมการเป็นคนธรรมดา หาเช้ากินค่ำ ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ด้วยอาชีพตัวตลก เห็นความไม่มีกิน อดอยาก ด้วยสภาพตัวเอกเราที่ผอมแห้งเห็นกระดูก เห็นแง่มุมที่เขาเป็นคนมีจิตใจ “ดี” โดยแสดงออกผ่านฉากที่เขาเล่นกับเด็กๆ ผ่านการแสดงให้ผู้ชมเห็นว่าเขาเป็นลูกที่ดี ที่เลี้ยงดูแม่ ทั้งอาบน้ำ หาอาหารให้ทาน ซึ่งเขาสามารถดูแลแม่ที่เจ็บป่วยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
Arthur มี Idol ที่เขานับถือยกย่อง คือ Murray Franklin – พีธีกรประจำรายการ “Live With Murray Franklin” Murray สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คนมากมาย รวมถึงตัว Arthur เอง
เราเห็นความหมายและความฝันของตัวเอกเรื่องนี้ ผ่านฉากที่เกิดในจินตนาการของ Arthur ที่ตัวเขาได้ไปโผล่อยู่ในรายการของ Murray
เราเห็นการพูดคุยระหว่าง Arthur และ Murray ที่เป็นไปอย่างชื่นมื่น เห็น Arthur ที่ยิ้มอย่างมีความสุข ผ่านคำพูดที่ออกมาจากใจจริงเขา เขาเชื่อว่าตัวเองเป็น “คนดี” ทำหน้าที่ดูแลครอบครัวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และเชื่อโดยสุจริตว่าตนเกิดมาเพื่อมอบความสุขและเสียงหัวเราะให้โลกใบนี้ ตามคำแม่สอนและปลูกฝัง
4. Is it just me, or is it getting crazier out there? : มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้สึกเป็นบ้า หรือข้างนอก (ผู้คนในสังคม) มันบ้ากันไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามชีวิตเขาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ด้วยความเป็นคนที่มีความผิดปกติ เป็นคนจน และดันใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ แต่เขาพยายามจะอยู่ในสังคมนี้ให้ได้ ด้วยหวังว่าจะไปถึงฝันที่ต้องการ คือ เผยแพร่เสียงหัวเราะให้โลกใบนี้
เขาไปหานักสังคมสงเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ กินยาสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็มีคนที่ให้เขาได้พูดระบายความในใจอะไรได้บ้าง แต่จนแล้วจนรอด โครงการก็โดนยุบไป เพราะ “ไม่มีเงินสนับสนุน”
จนเมื่อถูกแก๊งเด็กเลวขโมยป้าย ก็ต้องวิ่งตามไปเองโดยไม่มีแม้ตำรวจ หรือพลเมืองดี ยื่นมือช่วยเหลือ เขาถูกรุมกระทืบ นอนร้องไห้ด้วยความทรมาน แถมยังมาโดนเจ้านายหักค่าป้ายที่พังเพราะเด็กเลวพวกนั้นไปอีก
ความน่าเวทนานั้นทำให้เพื่อนร่วมงานของเขา “หวังดี” ซื้อปืนมาให้ เป็นภาระให้ตัวเขาต้องหาทางป้องกันตนเอง ในเมืองที่ตำรวจไม่อยู่เป็นที่พึ่งของประชาชน
5. People Are Starting To Notice : ผู้คนเริ่มยอมรับการมีตัวตนอยู่ของ “ฉัน”
“ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ก็เอา “อำนาจ” ใส่มือเขาดู เมื่อนั้น “ธาตุแท้” ของเขาก็จะปรากฏ”
ปืนกระบอกนี้ ให้อำนาจแก่ Arthur จากแต่เดิมที่เขาเป็นผู้ถูกกระทำน่าสมเพชมาโดยตลอด
หลังจากเหตุการณ์ที่ Arthur เผลอทำปืนตกในโรงพยาบาลเด็ก และถูกไล่ออกจากงาน
หนังก็เริ่มเผยอีกด้านหนึ่งของ Arthur Fleck ด้านที่เป็นผลจากความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้นที่สะสมบ่มเอาไว้
ในฉากรถไฟฟ้าใต้ดิน เราเห็นผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานสามคนกำลังรุมทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นส่งสายตาหา Arthur เพื่อแสดงสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ Arthur เกิดความอีหลักอีเหลื่อ เขารู้ดีว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งอะไร
แต่โชคร้าย อาการหัวเราะของเขากลับมาแสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเหตุให้ทั้งสามคนนั้นเข้ามารุมทำร้ายเขา
ในตอนแรกเขาพยายามขอโทษ เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นสิ่งที่เขาคุมไม่ได้ แต่ชายทั้งสามคนนั้นก็ไม่ฟัง ยังคงรุมกระทืบเขา
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นคนผอมกะหร่องที่ไม่มีเรี่ยวแรง ที่ต้องนอนถูกรุมกระทืบอีกต่อไป
เขามีอำนาจในมือ และมันถึงเวลาที่ความเกรี้ยวกราดของเขา จะออกมาแล้ว
Arthur “ยิง” ผู้ชายสองคนเข้าที่จุดตาย เพื่อปกป้องตัวเอง
ตามมาด้วยการ “ตั้งใจฆ่า” ชายคนที่สาม เพื่อปกปิดหลักฐาน
เรื่องตลกร้ายคือ ถ้าสามคนนั้นเป็นคนชนชั้นล่างธรรมดา หนังสือพิมพ์ก็อาจจะไม่ออกข่าวอะไร ตำรวจ(ในเรื่อง)ก็อาจจะไม่ได้ทำงานหาผู้ร้ายอะไรนัก
แต่ทั้งสามคนนั้นคือนักธุรกิจหนุ่งของ Wayne Enterprise บริษัทที่เป็นตัวแทนจุดสูงสุดของความเหลื่อมล้ำ
ทั้งสามคนนั้นคือ Elites คือ “คนพิเศษ”
สิ่งที่ Arthur ทำลงไป จึงกลายเป็น “สัญลักษณ์”
สัญลักษณ์ความเป็นคนเถื่อน ในมุมมองของเหล่า Elites แห่ง Gotham City
สัญลักษณ์ความเป็นผู้จดประกายการต่อสู้ ต่อความเหลื่อมล้ำ ผู้ที่ปลุกไฟในเหล่าคนที่ถูกกดขี่ ให้ลุกขึ้นมาสู้
สิ่งที่Arthur ได้ทำลงไป คือ การ “ลั่นไก” จุดชนวนให้เหล่าคนที่ไม่พอใจในความเหลื่อมล้ำ ออกมาแสดงพลัง
“ตัวตลก (The Clown) ” กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง และมันทำให้เขาเริ่มมีตัวตน เขารู้สึกถึงการเป็นที่ยอมรับ
มันทำให้ตัวตนอีกด้านของ Arthur เริ่มแสดงออกมา
6. Nothing but clowns : ก็แค่พวกตัวตลกชั้นต่ำ
Thomas Wayne ในหนังเวอชั่นนี้ มิใช่เศรษฐีใจบุญ ดังที่ผ่านมาๆ แต่เป็นนักธุรกิจที่เห็นแก่ตัวขั้นสุด แสดงทัศนคติเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นขั้นสุด ดังคำพูดที่เขาให้สัมภาษณ์ออกทีวีว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับนักธุรกิจของบริษัทเขานั้น เป็นการกระทำของคนขี้ขลาดซึ่งซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก เป็นการกระทำที่ มีเหตุจากคนที่เกิดมามีฐานะด้อย ไม่มีอะไรในชีวิต และเป็นพวกขี้อิจฉา
Thomas มองเหล่าคนที่ไม่มีอะไรในชีวิตนี้ และไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้หลุดกับดักความยากจนนี้ ว่าเป็นแค่ “ตัวตลกชั้นต่ำ”เท่านั้น
คำพูดของเขา จึงเป็นการช่วยใส่ไฟให้เกิดการจราจลยิ่งขึ้นไปอีก
ที่ตลกคือเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ยังมีหน้าลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่า
Thomas wayne ยังมีบทบาทเป็น “เจ้านายเก่า” ของ Penny Fleck ซึ่งเธอส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือทางการเงินอยู่ต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นผล ไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น
จน Arthur มาค้นพบภายหลังว่า Penny และ Thomas เคยรักกันอย่างลับๆ และรู้ว่าตนเป็นลูกของ Thomas wayne จากปากของแม่เขาเอง
เขาจึงเริ่มมีความหวังมากขึ้น ไม่มีเหตุอันใดที่เขาจะทนกับสภาพนี้ต่อ ถ้านี่เป็นความจริง เขาคือลูกมีพ่อ เขามีตัวตนชัดเจนขึ้น เขาคือ Arthur Wayne ชีวิตของเขาและแม่จะดีขึ้นได้ ได้หลุดพ้นจากความอนาถานี้เสียที
7. The Tragedies : The Arthur
จนถึงตอนนี้ คนที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ และให้ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของ Arthur ก็คือ
a) Penny Fleck แม่ผู้ซึ่งมอบความหมายให้ Arthur ผู้พร่ำสอนว่า เขาเกิดมาเพื่อสร้างเสียงหัวเราะและความสุขให้กับโลก
b) Murray Franklin ผู้ที่ Arthur ต้องการจะเจริญรอยตาม
c) Thomas Wayne คนที่เขาเชื่อโดยสนิทใจแต่แรกว่าเป็นพ่อเขาแท้ๆ เขาจะคิดว่าแม่เขาโกหกไปทำไม?
แต่ที่พึ่งและความหมายของ Arthur นั้นค่อยๆสลายลงไป
เริ่มด้วย Murray Franklin ที่เอา Clip วิดีโอที่ Arthur ได้ลองทำอาชีพในฝันของเขา ออกมาประจาน ทั่วประเทศ สบประมาทว่าArthur เป็นแค่Joker แถมใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยาม Arthur ต่างๆ เพียงเพื่อเรียกเสียงหัวเราะกลางรายการ เพื่อเรตติ้ง โดยไม่สนความรู้สึกของเจ้าของผลงาน ว่าจะอับอายขายขี้หน้า และจะเจ็บปวดแค่ไหน
การออกไปเดี่ยวไมโครโฟนครั้งนั้น คือการรวบรวมความกล้าทั้งหมดของเขา มันมีความหมายกับเขามากๆ แต่ Murray กลับเอามันมาล้อเลียน อย่างใจดำ อำมหิต
มิหน้ำซ้ำ เมื่อเสียงตอบรับจากผู้ชมดีกว่าที่คาดหมาย เขายังกล้าชวน Arthur มาออกรายการ เพื่อหวังจะประจานเขาออกทีวี เพื่อเรียกเรตติ้งอีกครั้ง
ตามมาด้วย Thomas Wayne ที่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ Arthur จะได้เจอพ่ออย่างไร้ความปราณี
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่สั่นคลอนความเป็นตัวตนของ Arthur จนถึงแก่น ว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมที่ Penny รับเลี้ยงมา บอกว่าเรื่องที่พวกเขาเคยรักกันนั้นคือเรื่องที่ Penny หลอนขึ้นมาเอง เพราะเธอเองก็ “เป็นคนบ้า”
จนเมื่อ Arthur บุกไปยัง Arkham State Hospital เรื่องที่ถูกเก็บซ่อนไว้ ก็ถูกเปิดเผย เมื่อพบหลักฐานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่า Penny Fleck เคยต้องมารับการรักษาที่นี่ ด้วยสภาพจิตผิดปกติ เคยรับบุตรบญธรรมจริงๆ และเคยทำร้ายร่างกาย Arthur จนมีอาการบาดเจ็บทางสมอง ทำให้เขาเจ็บป่วยอย่างทุกวันนี้
สุดท้ายแล้วก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาสามารถทำให้ Penny กลายเป็น “คนบ้า” เพราะจะไม่มีใครเชื่อเรื่องของเธออีกต่อไป
Penny โกหกเขามาตลอด เขาเป็นบุตรบุญธรรม ที่ต้องมีชีวิตอย่างทุกยากเพราะเธอและแฟนหนุ่มเคยทำร้ายหนักจนมีความผิดปกติทางสมอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ Arthur ทำ กลายเป็นแค่เรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่ง
ความแค้นความโกรธในตัวเขา จึงนำไปสู่การฆาตกรรม Penny อย่างเลือดเย็น
ในตอนนี้ ฟางเส้นสุดท้ายที่เชื่อม Arthur เข้ากับโลกของความเป็นจริง ไม่เหลืออีกแล้ว
8. The Comedies : The Joker
สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้คุณค่า ให้ความหมายของ Arthur นั้นไม่มีอีกแล้ว
“Arthur Fleck” ชายที่ไม่เคยมีความสุข ชายที่แสร้งยิ้ม และหัวเราะตลอด ชายที่ในหัวมีแต่ความคิดลบๆ แต่มีความหวังจะสร้างเสียงหัวเราะและความสุขให้กับโลกใบนี้ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เขาเชื่อและเป็นมาตลอดหลายปี มันหมดคุณค่า ความหมายไป ภายในชั่ววัน เพียงวันแย่ๆวันเดียว (One Bad Day)
ตัวตนใหม่ที่เก็บซ่อนไว้มานาน ที่เกิดจากการเก็บงำความรู้สึกเกี้ยวกราด ความรุนแรง ก็ค่อยๆแสดงตัวออกมา
นั่นก็คือตัวตนที่เป็น “ตัวตลก” ที่เหล่าคนยากไร้ใน Gotham ยกย่อง
ตัวตลกที่ Murray Franklin เรียกเขาออกสื่อว่า “Joker”
9. “I used to think my life was a tragedy, but now I realize it’s a comedy.” : ฉันเคยคิดว่าชีวิตฉันมันมีความเศร้าและเจ็บปวด แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า มันเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
Arthur ตายไปในคืนที่เขาฆ่า Penny Fleck
เรื่องราวเศร้าสร้อยทั้งหลาย (Tragedy) ที่ได้เคยนิยาม ตัวตนของ Arthur Fleck จึงได้มลายหายไปด้วย
ชีวิตที่ผ่านมาของเขา เป็นแค่เรื่องตลก (Comedy) เป็น Joke ที่มีเพียงแต่ Joker จะเข้าใจ
เราจึงเห็นการเปลี่ยนผ่านจาก Arthur ไปสู่ Joker ได้อย่างน่าอัศจรรย์ในตอนท้ายของหนัง
จากชายขี้อาย ชายที่ขี้ประหม่า ชายหน้าเศร้าที่พยายามฝืนยิ้ม ชายผู้ไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองได้ ชายที่ใช้ชีวิตแบบซังกะตาย ไร้จิตวิญญาณ
กลายเป็นชายที่ออกมาทาหน้าขาว ย้อมผมเขียว แต่งตัวสีฉูดฉาด ชายที่เต้นอย่างมีความสุข ชายที่ไม่มีอาการหัวเราะแบบน่าสังเวช ชายที่กระปี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงมหาศาล ดังที่หนังแสดงไว้อย่างน่าประทับใจ
และแน่นอน นี่คือชายที่เก็บ ความรุนแรงและความโกรธแค้นในตัวเขา รอเวลาจะระเบิดมันออกมา
10. When you bring me out, can you introduce me as Joker : เรียกฉันว่า โจ๊กเกอร์
โจ๊กเกอร์ คือ ตัวตนที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เกลียดชัง บ้าระห่ำ ที่ Arthur เก็บมันไว้มาอย่างยาวนาน
แต่ Joker ก็ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ชีวิตของเขาไม่ได้มีความหมายหรือคุณค่าใดๆ
ในตอนนี้ตัวตนของเขาที่ชัดสุด คงเป็นแค่สัญลักษณ์ของการประท้วง
หลังจากที่เขาได้รับเชิญไปออก Murray Franklin Show อีกครั้ง เนื่องจาก Clip การแสดงเขาโด่งดังเกินคาด
Joker จึงตัดสินใจทำสิ่งที่เขาคิดว่าจะมีคุณค่ากว่าชีวิตของเขา นั่นคือ ความตาย
เราจึงเห็นฉากที่ Joker ซ้อมยิงตัวเอง เพื่อหวังจะไปทำ “การแสดงสุดท้าย”” ออกอากาศกลางรายการสด
แต่แผนการนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะ Murray ต้องการเอาเขามาในรายการ เพื่อเรียกเรตติ้ง
ฉากที่เราเห็นจึงเป็น Joker ที่เริ่มกลับมาแสดงความโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆครั้งที่ Murray พูดล้อเลียนเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากเขา
สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนแผนกลางรายการ เขาสารภาพว่าตนเป็นคนฆ่าผู้ชายทั้งสามคนนั้นในรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ใช่เพื่อต้องการจุดชนวนการประท้วงใดๆ แต่เพราะสามคนนั้นมันเป็นคนเลว เขาพูดระบายถึงสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ความเป็นอภิสิทชน ความถูกละเลยความสำคัญของชนชั้นเช่นพวกเขา
Murray บอกว่าไม่ใช่ทุกคนเป็นคนเลว แต่ Joker ก็แย้งว่า Murray เองก็เป็นคนเลวเช่นกัน เพราะทั้งเล่นคลิปวิดีโอประจานเขา และเชิญเขาออกรายการเพื่อมาประจานซ้ำ เรียกเรตติ้ง
Joker ปิดท้ายรายการด้วย “The last Joke”
joke สุดท้ายที่แฝงไปด้วยพลัง และความเกรี้ยวกราด - What do you get when you cross a mentally ill loner with a society that abandons them and treats them like trash? – คุณจะได้อะไร ถ้าจับเอาคนโดดเดี่ยวที่เจ็บป่วยทางจิต มาผสมกับสังคมที่ละทิ้งพวกเขา และปฏิบัติกับพวกเขาเยี่ยงขยะ?
You get what you f**king deserve! – คุณจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสม!
กระสุนที่สังหาร Murray นั้น ออกอากาศฉายทั่วทั้งประเทศ เป็นกระสุนที่จุดระเบิดการประท้วง อย่างเป็นวงกว้าง นำไปเกิดความโกลาหลและความสูญเสียมากมาย
และนำไปสู่การกำเนิดของ Joker อย่างสมบูรณ์แบบ
11. Toxic Society
ดังที่กล่าวไปในตอนต้น ผมคิดว่า นี่คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นในสังคม ความอยุติธรรมในสังคม ความขัดแย้งที่มีเสมอมาในคนชั้นสูง และชนชั้นล่าง และบอกเล่าเรื่องราวของชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง เป็นโรคทางระบบประสาท ถูกหลอกลวงมาทั้งชีวิต แม้จะพยายามแค่ไหนที่มีมีชีวิตอย่างคนทั่วไป ก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยสังคมอันไม่เอื้ออำนวย
สุดท้าย ชายผู้น่าสงสาร จึงได้กลายเป็น “ปีศาจ”
ปีศาจตัวนี้ ไม่ต้องตกถังสารเคมี ไม่ต้องโดนแมลงตัวไหนกัด ไม่ต้องผ่านการทดลองเหนือมนุษย์
ไม่ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องได้รับพลังวิเศษ ไม่ต้องมีอะไรวิจิตรพิศดารทั้งสิ้น
แต่ ปีศาจตัวนี้กำเนิดจาก “คนธรรมดา” ที่ผ่านสิ่งมีพิษ อันมีชื่อเรียกว่า “สังคมมนุษย์” …. ก็เท่านั้น
เขาจึงไม่ได้เป็นปีศาจที่มีความซับซ้อนอย่างใด
เป็นปรากฏการณ์ที่เราพบได้ ในสังคมปัจจุบันนั่นเอง
….
….
….
บทสรุปของหนังเรื่อง Joker เป็นเช่นนี้ จริงๆหรือ?
12. “you wouldn’t get it” : คุณไม่มีวันเข้าใจมุกตลกของผมหรอก
ในฉากสุดท้าย เราเห็น Arthur/Joker นั่งคุยกับจิตแพทย์ใน Arkham state hospital
เขากำลังนั่งหัวเราะคนเดียว…ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ต่างจากๆครั้งก่อนๆทั้งหมด
เป็นการหัวเราะที่ออกมาอย่างจริงใจครั้งเดียวในภาพยนต์เรื่องนี้
เขากำลังขำกับ joke บางอย่างที่คิดในหัว ที่เขาบอกจิตแพทย์ว่า “คุณคงไม่เข้าใจ”
สารนี้ สื่อถึงคนดูอย่างเราๆ เช่นกัน
นั่นเพราะ เรามั่นใจแค่ไหน ว่าเรา เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง?
เรากำลังถูกปั่นหัว โดย joker อยู่หรือไม่
การกระทำของโจ๊กเกอร์ ที่ทำให้มีความสูญเสียมากมาย มัน justify สิ่งที่เขาได้รับมา จริงๆหรือ
ต้องไม่ลืมว่า หนังเรื่องนี้เล่าสิ่งที่ผ่านทั้งหมด ผ่านมุมมองของ Arthur/Joker
คำถามสำคัญคือ เราสามารถเชื่อมันได้หรือไม่ ว่ามันเป็นเรื่องจริง?
Joker เป็นตัวละครที่มีมานานแล้วในจักรวาล DC และมีหลายเวอชั่นมากๆ แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ “ภูมิหลัง (origin) ” ที่ไม่แน่นอน
ไม่เหมือนกับฮีโร่ หรือวายร้าย หลายๆตัว ที่มักจะมีต้นกำเนิดที่มาชัดเจน
Joker ไม่เคยเล่าเรื่องที่มาของเขาตรงกันเลย แต่ละเวอชั่น ก็จะมี ภูมิหลัง ที่แตกต่างกันออกไป
ภูมิหลังของ Joker คือ Multiple Choices
ซึ่งผมคิดว่า Joker ที่รับการถ่ายทอดอย่างยอดเยี่ยมนี้ โดย Joaquin phoenix ก็มีภูมิหลัง ที่เราต้องตีความเอง เช่นกัน
เพราะเราจะเห็นว่าตัวเอกของเรานั้นเป็นนักเล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ มีฉากที่เขาคิดขึ้นมาเอง แน่นอนอย่างน้อยสองฉาก คือ ฉากแรกในรายการของ Murray และฉากที่เขาออกเดทกับสาวข้างห้อง
ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับเหตุการณ์อื่นๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือไม่
13. If I’m going to have a past, I prefer it to be multiple choice! – The Killing Joke
หนังเรื่องนี้ไม่มีเฉลย จึงเป็นหน้าที่ของคนดู ที่ต้องถามตัวเอง ว่าจะเลือก “เชื่อ” อย่างไร
ตัวอย่างเช่น
ก) Joker คือ Arthur ที่น่าสงสาร ที่ผ่านเหตุการณ์ความไม่เป็นธรรมต่างๆ จนทำให้เขาระเบิดความคุ้มคลั่งออกมา ดังที่ผมเขียนวิจารณ์เอาไว้
ข) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหนังเป็นเรื่องในจินตนาการไปเองในหัวของ Arthur เพราะเขาไม่เคยออกมาจาก Arkham hospital ได้เลย ทุกๆอย่างเป็นแค่จินตาการในหัวของเขา
ค) Arthur ตายไปตั้งแต่เข้าไปในตู้เย็น เขาอาจถูกขังตายไว้ข้างใน เหตุการณ์ที่เหลือต่อจากนั้น คือสิ่งที่เขาฝันเอาไว้
ง) Joker คือ Loser คนหนึ่ง ที่แต่งเรื่อง หรือเอาข้ออ้างความไม่เป็นธรรมต่างๆ มานำเสนอให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือให้เรารู้สึกเข้าใจการกระทำของเขา
จ) Joker ที่เราเห็นในเรื่อง อาจเป็นคนละคนกับ โจ๊กเกอร์ ที่เราคุ้นเคย เพราะ ตามปกติ Batman และ Joker จะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ในหนังเรื่องนี้เราเห็นว่าอายุของ Arthur และ Bruce Wayne ห่างกันมาก ดังนั้น Joker ในตำแหน่งที่เป็นศัตรูตัวสำคัญของ Batman นั้น อาจเป็นคนอื่น อาจเป็นคนที่ยิงพ่อแม่ของ Bruce ก็ได้ Arthur ในเรื่องนี้ อาจเป็นแค่คนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ Joker ตัวจริงอีกที
จึงไม่น่าแปลกใจ หากหนังเรื่องนี้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารหลากหลาย มีทั้งคนชอบ คนอิน (ผมคือหนึ่งในนั้น 555) และคนที่เกลียดไปเลย เพราะสุดท้าย ปัจเจกชนก็มีมุมมองต่อเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ต่างกันออกไป ขึ้นกับ Lens ที่เขาสวมใส่ ขึ้นกับนิสัยที่ถูกออกแบบร่างมาตั้งแต่กำเนิด อยู่ในพันธุกรรม และรังสรรค์อีกครั้งโดยสิ่งแวดล้อม
หากคุณรู้สึกว่าสังคมตอนนี้มันน่ารังเกียจ เป็นสังคมของคนเห็นแก่ได้ สังคมปลาใหญ่กินปลาเล็กที่เกินขอบเขต รู้สึกว่าโลกนี้ช่างอยู่ยาก และคุณเองเป็นคนธรรมดาที่ต้องดิ้นรนไปวันๆ คุณอาจจะรู้สึก “อิน” กับหนังเรื่องนี้
แต่หากคุณไม่ได้คิดว่าโลกนี้มันโหดร้ายขนาดนั้น มีวิธีต่างๆมากมายที่ Arthur จะเลือกเดินได้ แต่เขาเลือกเป็นฆาตกร คุณอาจจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้รุนแรงไม่สมเหตุสมผล ตัวเอกเราเป็นแค่ loser ขี้ขลาดคนหนึ่ง ที่ไม่ควรได้รับความเห็นใจหรือมีคุณค่าใดๆ คุณอาจจะเกลียดหนังเรื่องนี้ไปเลย
…............
Joker ของคุณล่ะครับ เป็นแบบไหน?
โฆษณา