14 ก.พ. 2020 เวลา 13:19 • ประวัติศาสตร์
จูเจี้ยนเซิน-ว่านเจินเอ๋อร์.....ตำนานรักกินเด็กแห่งราชวงศ์หมิง
เป็นที่ทราบกันดีนะครับ คำว่า “กินเด็ก” มักจะสื่อถึงความสัมพันธ์สนิทสนมระหว่างคู่ชาย-หญิง โดยฝ่ายหญิงจะมีอายุมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ในภาษาอังกฤษก็มีคำแสลงที่สื่อถึงคู่รักประเภทนี้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ Cougars หรือคำเดียวกับความหมายของ “เสือพูม่า” นั่นแลครับ
เรื่องอื้อฉาวดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงช่วงศตวรรษที่ 15
จักรวรรดิต้าหมิงในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงซวนจง หรือฮ่องเต้จูจานจี ในปี ค.ศ. 1430 ตรงกับปีซวนเต๋อที่ 5 มีทารกเพศหญิงคนหนึ่งลืมตาดูโลกในครอบครัวอนาถา ทารกคนนี้มีนามว่า “ว่านเจินเอ๋อร์” จักรพรรดิซวนเต๋อขึ้นครองบัลลังก์หลังจากจักรพรรดิหมิงเหรินจง หรือฮ่องเต้หงซี สวรรคตไปโดยมีจักรพรรดินีจาง ฮองเฮาของจูเกาชื่อ ดำรงตำแหน่งขึ้นเป็นไทเฮา เมื่อปีซวนเต๋อที่ 2 ฮ่องเต้ซวนเต๋อจำต้องอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินีหู เพื่อให้นางได้เป็นฮองเฮาของตนตามพระประสงค์ของพระพันปีหลวง
ปัญหาการอิจฉาริษยาแก่งแย่งกันภายในวังหลังมีมาแต่โบราณ ไม่เว้นในรัชกาลนี้ ซุนกุ้ยเฟย พระมเหสีเอกของฮ่องเต้ผู้มากด้วยมารยา ทำการสืบเสาะว่าหากนางในคนใดเกิดท้องป่องขึ้นมา พระนางจะให้ความสนใจกับหญิงผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เมื่อนางให้ประสูติทายาทมังกรแล้วบังเอิญเป็นองค์ชาย พระนางจะรีบสั่งเก็บแล้วแอบอ้างทารกน้อยมาเป็นโอรสตนทันที ซึ่งนางในผู้โชคร้ายคนนั้นก็คือ สนมคนหนึ่งที่เป็นพระมารดาขององค์ชายจูฉีเจิ้น ในปีซวนเต๋อที่ 3 ฮ่องเต้ซวนเต๋อเห็นว่าพระนางหูฮองเฮาไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ จึงมีราชโองการสั่งปลดแล้วให้ไปบวชชีอย่างโดดเดี่ยว ณ ตำหนักเย็น
ค.ศ. 1434 ปีซวนเต๋อที่ 9 ว่านกุ้ย เสมียนประจำอำเภอจูเฉิงแห่งชิงโจว (อำเภอจูเฉิง มณฑลซานตง ในจีนปัจจุบัน) ถูกลงอาญาด้วยการริบทรัพย์และปลดลงเป็นทาส บุตรีของว่านกุ้ย ว่านเจินเอ๋อร์วัย 4 ขวบ ถูกเกณฑ์เข้าวังหลวงไปเป็นนางกำนัลคอยรับใช้ พระราชเทวี-ซุนกุ้ยเฟย ปีถัดมา ต้าหมิงมีการผลัดแผ่นดิน องค์ชายจูฉีเจิ้นวัย 8 ชันษา ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหมิงอิงจง หรือฮ่องเต้เจิ้งถ่ง ก่อนพระบิดาของจูฉีเจิ้นจะสิ้นนั้น ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นรัชทายาทพร้อมทั้งซุนกุ้ยเฟย ได้เลื่อนฐานันดรให้เป็นจักรพรรดินี เมื่อเปลี่ยนรัชสมัยแล้ว ซุนฮองเฮาก็กลายเป็น จักรพรรดินี พันปีหลวง ซุนไทเฮา ส่วนทางด้านอดีตหูฮองเฮาในฮ่องเต้ซวนเต๋อ นางใช้ชีวิตในฐานะแม่ชีอย่างอ้างว้างจนสิ้นใจในปี ค.ศ. 1443 ตรงกับปีเจิ้งถ่งที่ 8 หรือ 8 ปีหลังจากซุนฮองเฮาได้เป็นซุนไทเฮา
ปีเจิ้งถ่งที่ 12 ค.ศ. 1447 จักรพรรดิหมิงอิงจงมีพระราชโอรสคือ องค์ชายจูเจี้ยนเซิน กำเนิดจากพระมเหสีเอก โจวกุ้ยเฟย แล้วต่อมาก็โปรดแต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่แล้วในที่สุด จักรวรรดิจีนเกิดเหตุการณ์ “วิกฤติการณ์ถู่มู่เป่า” เนื่องด้วยฮ่องเต้เจิ้งถ่งทรงนำทัพ บัญชาการรบเพื่อจะเผด็จศึกกับเผ่าหว่าล่าด้วยองค์เอง แต่ดันเกิดเหตุกองทัพหลวงต้าหมิงเป็นฝ่ายปราชัย ซ้ำองค์จักรพรรดิก็ถูกพวกมองโกลจับไปเป็นเชลยศึก เมื่อปี ค.ศ. 1449 ปีเจิ้งถ่งที่ 14
ปีถัดมา อวี๋เชียน ขุนนางฝ่ายทหารในราชสำนักกรุงปักกิ่งดำเนินแผนการ ปลดจูฉีเจิ้นออกจากบัลลังก์กลางอากาศ แล้วทูลเชิญกษัตริย์เฉิง-จูฉีอวี้ พระอนุชาจูฉีเจิ้น ให้ขึ้นเป็นประมุขจักรวรรดิแทน เดิมทีจูฉีเจิ้นก็เคยมีรับสั่งให้อ๋องเฉิง-จูฉีอวี้ คอยรักษาการณ์ในพระนคร พอเกิดปัญหาอย่างนี้ขึ้น กษัตริย์เฉิงจึงครองราชสมบัติขึ้นเป็น “จักรพรรดิจิ่งไท่” หรือฮ่องเต้หมิงไต้จง ฮ่องเต้จิ่งไท่มีรับสั่งให้ปลดจักรพรรดินีเฉียน ฮองเฮาของหมิงอิงจง ทั้งยังปลดจูเจี้ยนเซินออกจากฐานะไท่จื่อแล้วโปรดเกล้าให้ องค์ชายจูเจี้ยนจี้ โอรสองค์เองขึ้นดำรงเป็นรัชทายาทแทน
จูเจี้ยนเซินกลายเป็นองค์ชายตกอับ มีนางกำนัลว่านเจินเอ๋อร์ ผู้ที่มีอายุมากกว่าตนถึง 17 ปี ! คอยดูแลและเป็นแม่นมให้ตั้งแต่คราวไม่รู้เดียงสา องค์ชายผูกพันกับแม่เลี้ยงคนนี้มิได้ขาดทั้งยามดียามร้าย เนื่องจากขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ บิดากลายเป็นไท่ซ่างหวง หรือพระชนกนาถแห่งจักรพรรดิ [Retired Emperor] แล้วถูกจองจำในตำหนักห่างไกล มารดาก็โดนปลดไม่ให้ได้พบหน้ากัน นานวันเข้า องค์ชายจูเจี้ยนเซินเริ่มเติบใหญ่ ก็มีจิตพิศวาสกลายเป็นความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ในสายตาองค์ชาย จากแม่เลี้ยง เริ่มมาเปลี่ยนเป็นพี่สาว จากนั้นก็กลายเป็นคนรัก... นับเป็นเรื่องที่ผิดทางศีลธรรมไม่ว่าจะยุคโบราณหรือในปัจจุบัน
ไท่ซ่างหวงจูฉีเจิ้น สามารถกู้ราชบัลลังก์คืนได้สำเร็จ พอได้เป็นฮ่องเต้รอบ 2 ก็มีราชโองการคิดบัญชีกับอวี๋เชียน โทษฐานบ่าวแว้งกัดนาย ทั้งสั่งมิให้นำพระศพน้องชายตน ฮ่องเต้จิ่งไท่ที่ประชวรจนสวรรคต ไปฝังรวมกับสุสานบรรพชนราชวงศ์หมิง แถมด้วยการลดฐานันดรจากจักรพรรดิให้กลับเป็นกษัตริย์ดังเดิม หรือที่เรียกว่า “เฉิงหวาง” ฮ่องเต้หมิงอิงจงประกาศรัชศกในแผ่นดินหมิงใหม่ ให้ใช้เป็นปี “เทียนซุ่น” ส่วนด้านองค์ชายจูเจี้ยนจี้ โอรสจูฉีอวี้ ที่เคยเป็นไท่จื่อในรัชกาลจิ่งไท่นั้น ได้ด่วนสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านี้แล้ว
ค.ศ. 1464 ปีเทียนซุ่นที่ 8 ฮ่องเต้หมิงอิงจงครองราชย์อีกครั้งครบ 8 ปี ก็ประชวรหนักจนสวรรคตด้วยพระชนมายุ 36 พรรษา ก่อนสิ้นพระชนม์ได้ฝากพระราชกรณียกิจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ คือ สั่งยกเลิกประเพณีการฝังทั้งเป็น องค์ชายจูเจี้ยนเซินที่กลับมาเป็นรัชทายาทดังเดิมแล้ว ก็เถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็น “จักรพรรดิหมิงเซี่ยนจง” หรือ ‘ฮ่องเต้เฉิงฮว่า’ ในวัย 17 พรรษา โดยมีเฉียนฮองเฮา จักรพรรดินีของฮ่องเต้เทียนซุ่น และโจวกุ้ยเฟย พระมารดาเฉลิมขึ้นเป็นไทเฮาทั้ง 2 พระองค์ สิ่งแรกที่ฮ่องเต้คนใหม่อยากทรงกระทำแทบพระทัยจะขาด นั่นก็คือ การยกยอดนารีในดวงหทัย แม่นางว่านเจินเอ๋อร์ ให้ขึ้นฐานันดรเป็นพระมเหสีเอก หรือ พระราชเทวี ‘กุ้ยเฟย’ แต่ก็ถูกโจวไทเฮาพร้อมทั้งปวงขุนนางพากันคัดค้านไม่เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างหนัก เนื่องเพราะ ว่านเจินเอ๋อร์แก่กว่าองค์ฮ่องเต้ มากเกือบ 20 ปี ทั้งนี้ยังมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยอีกด้วย
1
แต่เพราะบุพเพนำพาหรือฟ้าเล่นตลกประการใดมิทราบ ว่านเจินเอ๋อร์มีชู้กับมหาขันทีใหญ่ในรั้ววังหลายคน 2 ปีต่อมา ปีเฉิงฮว่าที่ 2 ค.ศ. 1466 ว่านเจินเอ๋อร์ให้กำเนิดทารกที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก นางว่านมีอายุมากถึง 38 ปีแล้ว ฮ่องเต้เฉิงฮว่าหลงแม่เลี้ยงผู้นี้ชนิดโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ถึงขนาดโปรดเกล้าให้เป็นถึง พระอัครมเหสี ‘ว่านหวงกุ้ยเฟย’ หรือพระอัครราชเทวี ทั้งที่เคยอภิเษกฮองเฮามาก่อนหน้าแล้วปีนึง ในเพลานี้ ราชการแผ่นดินจักรวรรดิต้าหมิงทั้งหมดมีว่านหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้กุมอำนาจแล้ว โดยมีกลุ่มขันทีคอยช่วยละเลงราชกิจกันอย่างสนุกสนาน ว่านหวงกุ้ยเฟยถือดีว่าเป็นที่โปรดปราน คอยหาเรื่องป้ายสีจักรพรรดินีอู๋ว่าตำแหน่งพญาหงส์ไม่คู่ควรกับนางในอย่างหล่อนนะยะ ที่สุดแล้วอู๋ฮองเฮาก็ถูกปลด นำร่างไปโบยจากนั้นก็จองจำ ณ ตำหนักเย็น อย่างไรเสีย แข่งสกิลแข่งได้ แต่แข่งวาสนามิได้ดอก ว่านเจินเอ๋อร์มีแต้มบุญไม่พอเพียง ฮ่องเต้มิอาจตั้งนางให้กลายเป็นจักรพรรดินีได้เพราะขัดกับกฎมณเฑียรบาล เคราะห์ร้าย โอรสของนางก็ด่วนสิ้นพระชนม์ด้วยอายุไม่ถึงขวบปี
ความเศร้าโศกอาวรณ์ เปลี่ยนไปเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ว่านเจินเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ใครได้ดีเกินฐานะตน หากนางในนางไหนมีรายงานว่าตั้งครรภ์เชื้อมังกร ก็จะถูกกำจัดทุกรายไป ในปีเฉิงฮว่าที่ 7 ค.ศ. 1471 พระมเหสีเอก ป๋อกุ้ยเฟยให้กำเนิดโอรสนาม “จูโย่วจี๋” ได้เป็นรัชทายาท แต่แล้วก็สิ้นพระชนม์อย่างปริศนาในปีเฉิงฉว่าที่ 8 อายุไม่ถึงขวบปีอีกเช่นกัน ใครต่อใครรู้ดีว่าเป็นฝีมือของว่านหวงกุ้ยเฟย แต่ใครละที่จะกล้าทูลข้อเท็จจริงนี้ให้ทรงทราบได้ ทั้งนี้นั้น ฮ่องเต้ยังเกรงพระทัยหวงกุ้ยเฟยคนนี้มากถึงมากที่สุด กล่าวให้เข้าใจโดยง่าย ‘ผัวกลัวเมีย’
อย่างไรก็ตาม ปีเฉิงฮว่าที่ 6 นางจี้ซื่อจากกวางสี ชนชาติจ้วง นางในไร้อันดับที่เคยถวายการปรนนิบัติบนแท่นบรรจถรณ์เพียงคราเดียวก็สามารถให้กำเนิดโอรสได้อีก ฮ่องเต้มิทันได้ทราบข่าว ว่านเจินเอ๋อร์ก็ล่วงรู้เสียแล้ว นางรีบสั่งให้ขันทีน้อยนาม ‘จางหมิ่น’ ให้ลักลอบนำทารกไปถ่วงน้ำเสีย แต่จิตใจเขากลับนึกสงสาร ไม่เพียงไม่ทำตามคำสั่ง ยังแอบซ่อนไปชุบเลี้ยงดูอีกด้วย ประมาณ 5 ปีต่อมา ปีเฉิงฮว่าที่ 11 ค.ศ. 1475 จูเจี้ยนเซินเริ่มออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงเป็นครั้งแรกในรัชกาล แลนับเป็นครั้งเดียวตลอดรัชสมัยทั้ง 23 ปีอีกด้วย เพราะหลังจากนั้นก็ปล่อยให้งานราษฎร์งานหลวงเป็นไปตามทิศทางของพวกหมอผีแพทย์ปีศาจและกลุ่มขันทีที่มีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ทำไมจู่ๆ ฮ่องเต้ต้องออกว่าราชการ สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่นหรอก
ในเช้าวันหนึ่ง ขันทีจางหมิ่น คนเดียวกับที่เคยชุบเลี้ยงองค์ชายน้อยให้พ้นเคราะห์เงื้อมมือมาร กำลังหวีพระเกศาให้จักรพรรดิ เส้นพระเจ้าเริ่มหงอก ฮ่องเต้ได้แต่ทอดถอนพระทัยว่าอยู่มาค่อนชีวิตขนาดนี้แล้ว ไยถึงไร้ทายาทเยี่ยงนี้ คิดแล้วน่าเวทนา จางหมิ่นรับรู้ว่าฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบตื้นลึกหนาบางก็รีบกราบบังคมทูลเล่าความสัตย์จริงทุกประการว่า บัดนี้ฮ่องเต้มีทายาทแล้ว วัยประมาณ 5 ชันษา จูเจี้ยนเซินดีพระทัยมาก รีบรับสั่งให้เด็กน้อยผู้นั้นมาเข้าเฝ้าทันที จากนั้นก็ยอมรับเป็นพระราชโอรสทั้งยังตั้งพระนามให้ “จูโย่วถาง” ส่วนแม่ของเด็ก นางในชาวจ้วงก็โปรดให้เป็น ‘พระมเหสี จี้เฟย’ พระราชทานทินนามว่า “ซูเฟย : เฟยผู้บริสุทธิ์และดีงาม” จึงเรียกนางได้ว่า ‘จี้ซูเฟย’
ว่านหวงกุ้ยเฟยทราบข่าวไม่นานนัก นางยังจมปลักกับการหึงหวง นางสั่งให้วางยาจี้ซูเฟย ส่วนขันทีจางหมิ่นเกรงว่าราชภัยจะถึงตัวไม่นานก็กลืนทองฆ่าตัวตาย นางยังคิดจะกัดไม่ปล่อยกับจูโย่วถางอีกด้วย ปกติฮ่องเต้จูเจี้ยนเซินมักใจอ่อน ยอมอ่อนข้อให้ว่านเจินเอ๋อร์มาโดยตลอด แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้แล้ว มีฎีการายงานว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเขาไท่ซาน 1 ใน 5 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินจีน โหราธิบดีทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ “เรื่องรัชทายาทยังไม่นิ่ง...” ฮ่องเต้เฉิงฮว่าจึงขัดใจกับนางผู้เป็นที่รักยิ่งด้วยการเปิดประชุมท้องพระโรง ออกพบปะขุนนางใหญ่น้อย การออกว่าราชการครั้งแรกแลครั้งเดียวของจูเจี้ยนเซินนั้น จึงเป็นการโปรดเกล้าแต่งตั้งองค์ชายจูโย่วถาง ให้เป็นไท่จื่อ-รัชทายาทอย่างเป็นทางการ
ในที่สุดแล้ว เดือน 1 ปีเฉิงฮว่าที่ 23 ค.ศ. 1487 ว่านหวงกุ้ยเฟยเกิดบันดาลโทสะ ไล่ทุบตีนางกำนัลปากดีวัยแรกรุ่นคนหนึ่ง ทว่าพระนางก็สูงวัยแล้วมิอาจจะวิ่งไล่ตามทัน สุดท้ายพระนางหกล้มสะดุดแล้วประชวรจนสิ้นพระชนม์ในที่สุด สิริอายุได้ 57 ปี ฮ่องเต้หมิงเซี่ยนจงเสียพระทัยมากก็ตรอมตรมหนัก เพ้อรำพันถึงอดีตแม่เลี้ยงผู้เป็นที่รักไว้ว่า
“万氏长去,吾亦安能久矣。”
แม่นางว่านไม่อยู่ในโลกนี้ เห็นทีข้าเองก็คงอีกไม่นานแล้ว.
สวรรค์ก็ลิขิตอย่างที่ว่าจริง จักรพรรดิเฉิงฮว่าสวรรคตในปลายเดือน 8 ปีเดียวกันนี้เอง ตรงกับวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1487 สิริพระชนมายุ 39 พรรษา ไท่จื่อจูโย่วถาง ขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นโอรสสวรรค์คนใหม่ ใช้รัชศก ‘หงจื้อ’ กลายเป็น “จักรพรรดิหมิงเซี่ยวจง”
ก่อนจากกันไปครับ และนี้ก็คือเรื่องราวระหว่าง “จูเจี้ยนเซิน-ว่านเจินเอ๋อร์” ตำนานรักกินเด็กที่เกิดขึ้นจากความผูกพันระหว่างองค์ชายน้อย-แม่เลี้ยงนางกำนัล แล้วค่อยๆ หนักข้อเข้าไปเป็น ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างจักรพรรดิ-หวงกุ้ยเฟย โดยสตรีอาวุโสกว่าบุรุษถึง 17 ปี !
จูเจี้ยนเซิน-หมิงเซี่ยนจง หรือจักรพรรดิเฉิงฮว่า และพระอัครราชเทวีหรือพระอัครมเหสี ว่านหวงกุ้ยเฟย
เจมส์ เซิ่งจู่
แฟนพันธุ์แท้ ราชวงศ์จีน
โฆษณา