พามาดูโบสถ์คริสต์ที่มีภาพนบีมูฮัมหมัดกำลังตกนรก !!!??? 🤔 หาาาา... ว่าไงนะ!? ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ
‼**เนื่องจากเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา อาจเกิดความไม่สบายใจของผู้อ่านได้ โปรดระลึกไว้ว่าเนื้อหาที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้ เป็นมุมมองของคนสมัยโบราณ อันเป็นอัตวิสัยและเป็นพลวัตร**‼
Fracciarossa
รถไฟความเร็วสูง Fracciarossa ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงทีละนิดจนจอดอย่างแนบสนิทที่ชานชาลา เสียงประกาศสำเนียงอีตาลีที่ฟังดูทะแม่ง ๆ ว่า "โบโลหน่าเซ๊นทราเหล่" นั้นบอกว่าเราได้เดินทางมาถึงสถานี Bologna Centrale แล้ว😎
Bologna
มันเป็นเวลาบ่ายคล้อย ผมเก็บสัมภาระ เดินออกจากสถานีรถไฟลงมาทางใต้ มุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองเก่าที่แออัด กลิ่นไอความเก่าจากยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแทรกอยู่ทุกช่วงตึก ภาพแผนที่ในมือถือโชว์ถนนที่ตัดเป็นวงกลมรอบเขตเมืองเก่าพอจะทำให้เราคาดเดาได้ว่า แนวกำแพงเมืองยุคกลางนั้นเป็นยังไง ถนน Dell'Indipendenza ทอดแนวยาวจากทิศเหนือจรดใต้ นำผมมาสู่จุดศูนย์กลางเมือง จตุรัสเปียซซ่ามัจโจเร่ ... ที่ตั้งของมหาวิหารซานเปโตรนิโอ (Basilica di San Petronio) ... หัวใจแห่งมหานครนี้ ... ขอต้อนรับทุกท่านสู่นคร... โบโลญา ประเทศอีตาลี ครับ🤩
Piazza Maggiore
Basilica di San Petronio
บนผนังของวิหารโรมาเนสก์แห่งนี้ มีภาพเฟรสโกที่แปลกประหลาดสุดขีด ... มันคือภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย ซึ่งมี... เอ่อะ ... เอิ่ม... "นบีมูฮัมหมัด" .. คนนั้นแหละครับ ... ศาสดาในศาสนาอิสลาม กำลังถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ภาพที่สยดสยองนี้เป็นผลงานของ โจวันนี ดา โมเดน่า ซึ่งเป็นศิลปินในศตวรรษที่ 15 ครับ
วาดเฟรสโก แสดงภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย โดย Giovanni da Modena
ขวาบนของภาพมีชายคนหนึ่งกำลังทุกข์ทรมาน มีอักษรลาตินเขียนว่า Harhomet หมายถึง มูฮัมหมัด ในภาษาอังกฤษ
ในช่วงยุคกลางตอนต้น ชาวคริสต์ชอบมองศาสนาอิสลามเป็นบาปอย่างหนึ่ง และศาสดามูฮัมหมัดก็เป็นศาสดาพยากรณ์จอมปลอม จนมาถึงในช่วงยุคกลางตอนปลาย ชาวคริสต์ก็ยังคงมองว่าศาสนาอิสลามเป็นพวกนอกรีตและป่าเถื่อน ส่วน "นบีมูฮัมหมัด" นั้นก็เป็นบันดาลของ "มาร" 😱
ในเอกสารของชาวยุโรปนั้นมีกล่าวถึง "นบีมูฮัมหมัด" มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยไบแซนไทน์ที่เขียนขึ้นไม่กี่ปีหลังจากที่มูฮัมหมัดตายในปี 632 ในยุคสงครามครูเสดและสงครามต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันในช่วงปลายยุคกลาง มุมมองชาวคริสต์ต่อมูฮัมหมัดนั้นเรียกได้ว่า ... เอิ่ม... ผมไม่อยากจะบอกเลยว่า ... เลวร้ายมาก ๆ เพราะเป็นในแนวขัดแย้งกับศาสนาอิสลามแบบสุดขีด เช่น ... มองว่า นบีนี้เป็นคนบาป เป็นลิ่วล้อของซาตาน หรือเป็นพวกต่อต้านพระเยซูก็มี อันจะต้องตกนรกหมกไหม้ด้วยความทรมาน🤔
"ดีวีนากอมเมเดีย" (Divina Commedia หรือ Divine Comedy ในภาษาอังกฤษ) เป็นผลงานเขียนอันเลื่องลือของดันเต อาลีกีเอรี ที่เขียนขึ้นในยุคกลาง ระหว่างปี 1308-1321 ชิ้นงานนี้เรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกเลยทีเดียว... 😃
ภาพเฟรสโกใมือของมิเคลลิโน แสดงภาพดันเตในชุดสีแดงกำลังถือหนังสือดิวิน่ากอมเมเดียไว้ในมือ เขายืนอยู่หน้าเข้านรก เราจะเห็นภูเขาแห่งแดนชำระที่มีเจ็ดชั้น มีฉากเป็นเมืองฟลอเรนซ์ เหนือขึ่นไปคือทรงกลมของสวรรค์ที่ครอบไว้
ใน "ดีวีนากอมเมเดีย" เนื้อหาทั้งหมดจะแบ่งเป็นสามตอน ได้แก่ Inferno (นรก), Purgatorio (แดนชำระ), Paradiso (สวรรค์) ทำให้หลายคนเอาไปเปรียบเทียบกับไตรภูมิพระร่วง จนเรียกว่ากัน “ไตรภูมิดันเต” ก็มี ซึ่งวิธีการเล่าเรื่องของดันเตก็แปลกประหลาดไม่น้อย เพราะเขาเล่าถึงตัวเอง เดินทางไปยังภพภูมิทั้งสาม แล้วก็ได้ไปพบเจอบุคคลต่าง ๆ ที่เสียชีวิตไปแล้ว
ภาพแสดงคอนเซ็ปต์นรกตามความคิดของดันเต
ซึ่ง... บางคนก็ยังไม่เสียชีวิตในปีที่ดันเตเขียน ก็ยังถูกอ้างว่าไปเจอในยมโลกเหมือนกัน!? ลองคิดดูสิครับ อยู่ ๆ คุณเดินเข้าไปในซีเอ็ดไปเจอหนังสือที่เขียนว่าในนรกมีดารา นักการเมือง เกจิอาจารย์ ฯลฯ ชื่อดัง (ที่ยังไม่ตาย) หนังสือนี้จะดราม่าขนาดไหน 555555😨
เอาหล่ะ ก่อนจะเริ่มออกนอกเรื่อง ...ขอกลับมาที่ภาพวาดนบีมูฮัมหมัดกันต่อ ... 🤫
ในบทที่ 28 นั้น ดันเต เขียนว่า ตัวเขาลงไปในนรกแห่ง Malebolge ที่มีทั้งหมด "9 ขุม" นรกนี้ออกแบบมาสำหรับพวก... ยุงยงปลุกปั่น สร้างความเชื่อ เผยแพ่คำสอนผิด ๆ ให้ศาสนาแตกแยก แตกนิกาย! 🙄
เพราะข้อกล่าวหาที่มักนำมาอ้างในการสร้างบาปให้นบีมูฮัมหมัด ก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ สอนศาสนา แนวคิดที่ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโป้ปดมดเท็จ ...🤔
ในขุมที่ 8 อันชั่วช้าที่สุดรองมาจากขุมที่ 9 เขาเจอกับ ... "นบีมูฮัมหมัด" ... เอ่อออ.. ใช่ครับ .. เขาเจอนบีมูฮัมหมัด อยู่ในนรก และไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่บรรยายไว้ว่า ...
ภาพมูฮัมหมัดในหนังสือดิวินากอมเมเดีย โดย กุสตาฟ ดอเร่ ปี 1861
[... มูฮัมหมัดถูกแยกร่างขาดเป็นสองท่อน มีอวัยวะภายในห้อยโตงเตง ในสภาพที่หลุดลุ่ย ฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ จากคางลงถึงทวารหนัก ลำไส้ห้อยไว้ระหว่างขา ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก... เมื่อดันเตมองไปที่นบีมูฮัมหมัด เขามองกลับมา มือของข้างของเขาแหวกหน้าอกของตัวเอง แล้วเอ่ยวาจา... “ดูเสีย ร่างที่หลุดลุ่ย ฉีกกระชากของข้า จงดูร่างข้าที่ย่อยยับและแหลกเหลว” ]
ภาพมูฮัมหมัดกำลังแหวกอกของตนเอง ในภาพประกอบดิวิน่ากอมเมเดีย โดยวิลเลียม เบลค ฉบับปี 1824
ศิลปินในยุคหลังที่ได้อ่านผลงานของดันเต มักจะวาดฉากนี้บ่อย ๆ ปัจจุบันเราสามารถเห็นภาพร่างหลุดลุ่ยของนบีมูฮัมหมัดถูกฉากเป็นชิ้น ๆ ได้ในคริสตศิลป์หลายชิ้น เช่น "ผลงานของโจวันนี ดา โมเดน่า ในมหาวิหาร ซาน เปโตรนิโอ" แห่งนี้ รวมไปถึงภาพวาดของซัลวาดอร์ ดาลี, โรแดง, เบลค ฯลฯ
ภาพ Inferno 29 ของ Salvador Dali 1960
🤔 แม้กระนั้น การตีความบางสำนักก็ฟังดูเข้าท่ากว่านี้ เช่น ในศตวรรษที่ 13 มีการตีความในหนังสือ Estoire del Saint Grail พรรณนาเกี่ยวกับการเดินทางของโยเซฟแห่งอริมาเธีย ผู้รักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ ผู้เขียนได้อ้างถึงประชาชนในแถบตะวันออกกลางว่าเป็นพวกเพแกน จนกระทั่งนบีมูฮัมหมัดเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในดินแดนนั้น ...มูฮัมหมัดผู้ซึ่งเป็นศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริงอันถูกส่งมาโดยพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้นำศริสตศาสนามาสู่ดินแดนแห่งนี้ ... 😌
Estoire del Saint Grail
แต่คริสตชนมองว่านบีมูฮัมหมัดไป "ดัดแปลงประสงค์ของพระเจ้า" จึงไปหลอกลวงสาวกให้หลงเชื่อคำสอนของตนเอง... 😢
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คริสตชนสมัยนั้นมองว่า ศาสนาของมูฮัมหมัดก็ยังสูงส่งกว่าศาสนาเพแกนอยู่ดี😏
... และนี่คือ มุมมองของคริสตชนยุโรปในยุคกลางต่อศาสนามูฮัมหมัดในศาสนาอิสลาม ครับ...🤔
ภาพเฟรสโกนี้จึงตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเสมอมา เช่น การวางแผนก่อการร้ายในปี 2002 โดยกลุ่ม al-Qaida
ปล. มุมมองของชาวคริสต์ต่อศาสนาอิสลามที่ผ่อนปรนลงมานั้น... เพิ่งเริ่มต้นในยุคสมัยใหม่นี้เอง คือในช่วงหลังจากที่จักรวรรดิมุสลิมขยายตัวจนเริ่มเป็นภัยคุกคามต่อชาวยุโรป อย่างเช่นตอนที่บุกทลายกรุงคอนสแตนติโนเปิลในศตวรรษที่ 15 จนขยายอิทธิพลมาเย้ว ๆ แถวกำแพงกรุงเวียนนา ในศตวรรษที่ 17
- 5
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
