19 ก.พ. 2020 เวลา 12:05 • กีฬา
Liverpool กับปัญหาเมื่อเจอบอลเกมรับ
จากความพ่ายแพ้ในรายการ UEFA Champions League รอบ 16 ทีมนัดแรกในฤดูกาลที่ลุ้นแชมป์เต็มตัวของหงส์แดง Liverpool ทำให้แชมป์เก่า 6 สมัยทีมนี้ยังคงไร้ชัยชนะในการบุกเยือนทีมจากแดนกระทิงดุมาอย่างต่อเนื่องในยุคของ Jurgen Klopp
หลังจบเกม นายใหญ่ชาว Germany ได้กล่าวกับสื่อเกี่ยวกับผลลัพธ์ของ match ที่ค่อนข้างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ของเจ้าบ้าน แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะมี moment ที่เรียกเสียงเชียร์แฟนหงส์ให้กลับมากึกก้องอีกครั้งใน leg 2 ที่จะได้กลับมาเปิดรัง Anfield แก้แค้นตราหมี ชี้ชะตาเข้าสู่รอบ 8 ทีมต่อเนื่อง
“มันยังไม่จบหรอก..... ยินดีต้อนรับสู่ Anfield”
เป็นประโยคที่สั้น แต่เปี่ยมไปด้วยความหมายต่อทีมและแฟนบอลจริงๆ ก็เป็นอันเข้าใจกันง่ายๆว่า พวกเขาไม่ยอมแพ้แน่นอน และพวกเขาต้องมั่นใจฟอร์มการเล่นในรังเหยัาของพวกเขา แบบที่พวกเขาเคยทำให้เห็นกันมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นทีมจาก Spain เหมือนกันซะด้วย
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากคำพูดที่หลุดออกมาจากปาก Jurgen Klopp นั่นก็คือ “พวกเขามีกองเชียร์ที่สุดยอด และผู้จัดการก็ปลุกเร้ากองเชียร์ได้อย่างดีเยี่ยม”
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ชัดเจนว่า Klopp นั้นก็ศรัทธาใน “ผู้เล่นคนที่ 12” เหมือนกัน
อีกครั้งที่หงส์แดงต้องตกที่นั่งลำบากในเกมแรกของรอบ knockout รายการ UEFA Champions League แม้ว่าทีมจะมีสถิติในการ comeback ที่ค่อนข้างดีกว่าทีมอื่นๆในช่วงขวบปีที่ผ่าน
แต่เชื่อได้เลยว่า มันจะไม่ง่ายเหมือนกันการพลิกล๊อคไล่ถล่ม Barcelona ในฤดูกาลที่แล้ว ก่อนจะส่งให้ทีมหงส์แดงเข้าชิงได้ในที่สุด แต่นั่นไม่ได้เป็นเพียง match ที่ Liverpool นั้นเล่นได้อย่าง top form แต่เป็น match ที่กองเชียร์บน stand ทั่วทั้งสี่ทิศพร้อมใจกันเชียร์ทีมรักอย่างสุดหัวใจอีกด้วย
ย้อนกลับไปในเดือนสุดท้ายของฤดูกาล 2018/19 วันที่ปาร์ฏิหาริย์เกิดขึ้นที่ Anfield
หงส์แดงจำเป็นต้องทำ 3 ประตูอย่างน้อยในการตีเสมอ score รวมจากนัดแรก และยิ่งกว่านั้นถ้าอยากเข้ารอบพวกเขาต้องยิง 4 ประตู อีกทั้งยังต้องกังวลเรื่องเกมรับอีก ถ้าหากเสีย away goal เพิ่มอีก เรื่องจะไปกันใหญ่เกินที่จะแก้ทันภายใน 90 นาที
แต่เกมรับทีมเต็งแชมป์อย่างเจ้าบุญทุ่ม Barca นั้น สร้างความผิดพลาดจนเสียประตูเร็วตั้งแต่ไก่โห่ จนไปถึงการเสียสมาธิจากการปะทะคารมกับท่านเปา จนเจอลูกทีเด็ด เด็กฉลาดอย่าง Trent Alexander-Arnold ที่ยังคงมี viral ของลูกเปิดมุมของเขามาจนถึงทุกวันนี้
ตัดมาที่คืนก่อน ณ กรุง Madrid เมืองหลวงแดนกระทิงดุ
เมื่อ match เริ่มไปไม่ถึง 10 นาที แฟนหงส์แดงต้องเผชิญกับความรู้สึกเดียวกับที่ทีมรักของพวกเขายัดเยียดให้กับ Tottenham Hotspurs ในนัดชิงดำปีที่ผ่านมา
และหงส์แดงก็ถูกออกนำตั้งแต่ไก่โห่เช่นเดียวกับนัดชิงดำนัดนั้นไม่มีผิด Virgil Van Dijks ก่อความผิดพลาดให้ Saul Niguez ตามซ้ำเข้าไปในจังหวะขลุกขลิก ก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หงส์แดงปราชัยในนัดแรก
หงส์แดงของ Jurgen Klopp ในฤดูกาลนี้ต้องพบกับปัญหาในการโดนออกนำไปตั้งแต่ช่วงต้นเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อรูปเกมครึ่งหลังของ Liverpool มากๆ ที่ต้องเร่งเครื่องเดินหน้าทำประตูให้หนักหน่วงกว่าเดิม เนื่องจากคู่แข่งมักจะลงไปรับลึกกันหมดเมื่อสามารถออกนำทีมที่มีเกมรุกร้อนแรงที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป
เมื่อเกมรุกของ Liverpool นั้นรุนแรงและรวดเร็ว เปรียบได้กับรถ sport 2 ประตูที่วิ่งฉิวไปตามถนนดีๆโล่งๆ แต่ถ้าหากเจ้า Ferrari นั้นต้องมาวิ่งบนถนนรถติดๆและขรุขระล่ะ? คำตอบคือ มันก็วิ่งได้ไม่เต็ม 100% แน่นอน
เพื่อให้เห็นภาพนั้น การที่กองหลังอีกฝั่งยืนคุม zone กันแบบปล่อยปะละเลยในพื้นที่บางจุด เปิดช่องให้ถูกจู่โจม หรือว่า ไม่สามารถยืนแนวรับได้อย่าง compact มากพอ นั้นเปรียบเสมือนถนนดีๆโล่งๆ ซึ่งหาช่องแทงทะลุได้ มีพื้นที่และเวลาให้เล่นกับบอล
ซึ่งมันก็เหมือนการที่ปล่อยให้ TAA หรือ Robertson ยืนเปิดบอลแบบไร้แรงกดดันให้เพื่อนเข้าฮอสให้เขตโทษได้นั่นเอง
แต่ถ้าเป็นทีมของ Jose Mourinho หรือ Diego Simeone ที่เล่นเกมรับได้อย่างไร้ที่ตินั้น สามารถโยนงานหนักให้แนวรุก Liverpool ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเมื่อเล่นใน Anfield นั้นจะไม่ใช่งานหนักเท่าไหร่ แต่งานนั้นจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อต้องออกไปเล่นเกมเยือนกับทีมเหล่านั้น ซึ่งกองเชียร์นั้นมีผลแน่นอนในผลงานของทีม
แต่ Jurgen Klopp ก็สามารถเอาชนะโจทย์เหล่านั้นได้เกือบหมด มีเพียงนัดเดียวที่ Klopp กำลังจะแก้โจทย์ได้แล้วอีกนิดเดียว แต่เวลาทำข้อสอบดันหมดไปซะก่อน อย่างเกมเยือน Old Trafford ในฤดูกาลนี้ แม้ว่านัดอื่นจะสามารถแซงขึ้นนำได้ทุกนัด แต่นัดนี้หงส์แดงทำได้ดีที่สุดเพียงรักษาสถิติไร้พ่าย
ถ้าในวันนั้น Manchester United ไม่ได้เล่นบอลเกมรับรัดกุมเป็นพื้นฐานก็คงจะโดนหงส์แดงสอยคาบ้านไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผีแดงกลับขึ้นนำหงส์แดงได้ก่อน อีกทั้งยังจะเกือบรักษา score ไว้ได้อีกต่างหาก
ส่วนนัดอื่นนั้นแม้ว่าจะโดนขึ้นนำตั้งแต่นาทีแรกอย่างนัดเจอไก่เดือยทองแต่ก็สามารถพลิกกลับมาขึ้นนำได้ก่อนสิ้นเสียงนกหวีด เช่นเดียวกับชัยชนะเหนือ Aston Villa ที่ Klopp ทำให้ทีมเครื่องจักรสีแดงไม่คุ้นชินกับคำว่าพ่ายแพ้
ถ้าสังเกตดีๆแล้ว Jurgen Klopp นั้นเป็น style ที่แก้เกมช้า..... แต่ชัวร์
ตัวสำรองที่เขาเปลี่ยนลงมาเมื่อต้องการผล score นั้นล้วนมีความหมายแล้วมีส่วนร่วมในการทำ score ทั้งสิ้น คือทุกตัวที่เปลี่ยนลงไป เขาคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาตามเป้า มันก็คือสำเร็จ ซึ่ง Klopp นั้นไม่ค่อยที่จะแก้เกมตั้งแต่ช่วงครั้งแรกซักเท่าไหร่
ซึ่งเมื่อคืนจะสามารถเห็นได้ชัดว่า ครึ่งแรกไม่ว่าจะเล่นสนามไหน แต่ครึ่งหลังทีมของเขาจะเล่นอยู่ในฟอร์มเดียวกับในบ้านเสมอ และไม่เคยแผ่วปลายทั้งๆที่ Gegenpressing เป็น tactic เกมรับที่เปลืองพลังงานร่างกายมากๆ แม้ว่าทีมจะเล่น Gegenpressing สลับกับยืน mid-block บ้างก็ตาม
แต่ถ้าหากอยากจะเอาชนะพวกเขาได้ก็ต้อง กดสูตร Diego Simeone กันแล้วแหละ
ทั้งๆที่กองหน้าตัวหลักสองคนอย่าง Morata และ Diego Costa นั้นต่างก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดและมีปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่สิ่งที่ Simeone ใช้เป็นอาวุธนั้นกลับเป็นการป้องกันที่ยากที่จะเจาะ ซึ่ง Atletico Madrid นั้นเสียประตูเมื่อเล่นในบ้านเพียง 6 ประตูเท่านั้นจาก 12 นัด และการที่จะยิงตราหมี 2 ลูกในบ้านตัวเองนันดูจะเป็นเรื่องที่ยากเอาการพอสมควร
เมื่อได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม ทีมก็สามารถที่จะลงมาเล่นเกมรับทุกคนได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องเกมรุก เพราะ score นั้นอยู่ในหน้าที่ได้เปรียบแล้วสำหรับเจ้าบ้าน แต่สามารถปิดเกมได้ตั้งแต่ครึ่งแรกเลยด้วยซ้ำไป ความเหนียวแน่นในเกมรับของตราหมีนั้นไม่เป็นสองรองใครในยุโรปอยู่แลัว แล้วนี่ยิ่งเล่นในบ้านมันยิ่งได้เปรียบไปกันใหญ่จากกองเชียร์รอบสนามหญ้าอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้ทีมของ Diego Simeone นั้นสามารถรักษาผล score ที่ต้องการได้จนจบ match ไม่ใช่แค่เพียงกำแพงเกมรับสองชั้นในระบบ 4-4-2 ของเขาเท่านั้น แต่คงต้องยกประโยชน์ในลูกล่อลูกชนของลูกทีมเขาด้วย
หากว่า Sadio Mane ไม่มีใบเหลืองติดตัวในเกม Klopp คงจะให้ Mane ควยป่วนเกมรับตราหมีจนจบ match แน่นอน แต่ด้วยความที่ผู้เล่นตราหมีและกองเชียร์สามารถส้างอารมณ์คุกรุ่นในกับ Mane ได้
การถอดเขาออกเพื่อเลี่ยงการโดนใบแดง และอาจจะผลต่อ teamsheet ในนัดที่สองนั้น ก็เป็นเรื่องที่ Klopp ไม่อาจจะเลี่ยงได้ เพราะแพ้มา 1-0 แต่ยังมีอีก 90 นาทีให้แก้ตัว มันอาจจะมีโอกาสมากกว่า ซึ่งมันอาจจะดูขัดใจแฟนบอลที่ต้องการ score ในขณะที่ทีมตามหลังอยู่ แต่ใน match นี้ Klopp ตัดสินใจได้เด็ดขาดและถูกต้องแล้ว
ซึ่งชัยชนะยกแรกของตราหมีนั้น Simeone และลูกทีม นั้นสมควรได้รับอย่างไร้ข้อกังขา พวกเขาสามารถทำให้ Mane Firmino และ Salah นั้นยิงรวมกันไม่เข้ากรอบแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อมองไปยังอนาคต นัดที่สอง ที่ Anfield
สถานการณ์ครั้งนี้ต่างจากปาร์ฏิหาริย์ครั้งก่อนอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น
อย่างแรกคือ คราวนี้หงส์ไม่ต้องตามถึง 3 ลูก
ใช่ มันเป็นงานง่ายกว่าพอสมควรในแง่ของจำนวนประตูที่ต้องทำ
แต่อีกสิ่งที่อาจจะทำให้งานครั้งนี้มันยากโข มันก็คือ 4-4-2 และความเขี้ยวของ Simeone นั่นแหละ ซึ่งเขาเองก็มีความเขี้ยวไม่แพ้พวกยอดโค้ช Italy ที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้เลยทีเดียว
ต้องบอกเลยว่า 4-4-2 ของ Federico Valverde กับ Diego Simeone คุณภาพในเกมรับมันคนละเรื่องกันเลย
Barcelona ไม่สามารถที่จะปิดพื้นที่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่อันตรายได้เท่า Atletico Madrid นั่นเอง จากการที่มีคู่หน้าอย่าง Lionel Messi และ Luis Suarez แม้ว่าทั้งคู่จะสามารถพังประตูคู่แข่งได้ง่ายดายแม้กระทั่งด้วยการเล่นประสานเพียงสองคน แต่สภาพร่างกายก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะเล่นเกมรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1
แต่ต่างกันที่ Morata หรือว่าจะเป็น Joao Felix และ Angel Correa นั้นจะวิ่งไล่บี้ตัวขึ้นเกมตลอด ไม่ให้สามารถเจาะเข้าตรงกลางได้ แต่ match น่าสุดต้องยกประโยชน์ให้ man of the match อย่าง Renan Lodi ที่เอาเกมริมเส้นคู่แข่งซะอยู่หมัด ไม่ให้มีลูก cross สวยๆจาก fullback ที่เป็นจุดขายของ Liverpool
และถ้าเกมที่สองนี้ Liverpool ยังไม่สามารถเจาะกำแพงสองชั้นนี้ได้ก็อาจจะต้องพึ่งพาปืนใหญ่อย่าง Oxlade-Chamberlain หรือ Fabinho ให้คอยหาช่องยิงผ่านแนวรับตราหมีให้ได้
การเดินเกมรุกตั้งแต่เป่านกหวีดเริ่มการแข่งขันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดูจำเป็นสำหรับ Liverpool
Atletico Madrid นั้นจะมาเล่นเกมรับแบบเต็มที่แน่นอน และจากบทเรียนราคาแพงที่ CR7 มอบให้เมื่อปีที่แล้วนั้นคงจะทำให้ Simeone เข้มงวดและรัดกุมกับเกมที่ต้องการยัน score ประเภทนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน
แต่อันที่จริงแล้ว Liverpool ไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งเกมใน speed เดียวที่ใช้ถลุง Barcelona แม้ไร้เงา keyman อย่าง Salah และ Firmino ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือหงส์แดงฤดูกาลนี้ยิงประตูในบ้านได้ทุกนัด ถ้าอิงตามสถิติมันก็เหมือนกับ Atleico Madrid ที่โดนยิง 2 ลูกในเกมเดียวคาบ้านยากมาก แต่อันนี้ก็คือ ยากมากที่จะหยุด Liverpool ไม่ให้ยิงประตูใน Anfield ได้
ซึ่งถ้าเกมมันออกมาในรูปแบบ one way ที่ตราหมีตั้งรับลูกเดียวตั้งแต่ต้นเกม Liverpool อาจจะขึงเกมบุกไปเรื่อยๆ เดี๋ยว score ก็ไหลมาตามจังหวะบอลซักลูกเองแหละ ซึ่งถ้า Liverpool ไม่ได้เล่นผิดฟอร์ม ก็น่าจะมี 1 ลูกในบ้านแน่ๆ ที่เหลือก็แค่ชิงจังหวะไหล score ไปเป็น 2-0 เท่านี้ก็เข้าสูตร Klopp แล้ว
แต่ฟุตบอลมันไม่มีอะไรแน่นอนใช่ไหม.... ถ้าเกิดหงส์แดงฉายหนังม้วนเดิมเรื่องเดียวกับนัดแรกล่ะก็ การไล่ตีเสมอ และพลิกแซงจากกฎ away goal นั้นดูจะยากมากพอสมควร และหนทางไปสู่การป้องกันแชมป์ของหงส์แดงก็จะจบลง game over เลยทันที
แม้ว่าตราหมีนั้นจะเด่นที่เกมรับ แต่เกมรุกพวกเขาก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน แนวรุกตราหมีในชุดนี้นั้นเรียกได้ว่าไปกับบอลได้ดีทุกคนไม่ว่าจะ Felix หรือ Saul Niguez ที่เคยเลี้ยงดุ่มๆเข้าไปยิง Bayern Munich มาแล้ว ในเกมนัดต่อไปนี้หงส์แดงจึงต้องพึงระวังในจุดอ่อนที่ระบบการเล่นของตัวเองมีเพื่อไม่ให้เสีย away goal
จุดอ่อนของ Liverpool เมื่อโหมเกมรุกอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือ “พื้นที่ของหลัง fullback” ที่ถูกเปิดออกจากการเติมเกมริมเส้นขึ้นมาเปิดบอล แม้ว่าการที่จุดนี้ถูกแก้ปัญหาโดยการถอยลงมาประคองไลน์ร่วมกับ centerback ของ Henderson ในบางจังหวะนั้นอาจจะพอทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กได้บ้างก็ตาม
จุดนี้นี่แหละที่ไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบต่อ score แต่มันอาจจะส่งผลต่อเนื่องในแง่ของความล้า หรือ stamina ของนักเตะที่ต้องเตะเกือบทุกถ้วย แทบจะไม่ได้พักเลย ในจุดนนี้อาจจะส่งผลให้ Klopp ต้อง rotation มากกว่าเดิมใน match ที่ไม่หนักหรือไม่มีผล ซึ่งมันอาจจะเป็นนัดที่หงส์แดงสะดุดไม่สามารถรักษาสถิติไร้พ่ายต่อเนื่องก็อาจจะเป็นไปได้
และเมื่อ Jurgen Klopp มองว่าการลุ้นแชมป์ league มันจบลงเมื่อไหร่ เขาคงใช้ชุดเด็กในการลงแข่งนัดที่ไม่สำคัญเพื่อรักษาตัวหลักไว้ฟาดฟันในถ้วยยุโรปอาจจะดีและคุ้มกว่า เพราะดูเหมือนที่ผ่านๆมาเขาจะไม่ได้พิศวาสถ้วยใบใหญ่สีทองอร่ามซักเท่าไหร่
เพื่อนๆคิดอย่างไรกันมั่งครับ ?
ติดตามพวกเราได้อีกช่องทางได้ที่ Facebook : Talk Shit Football
โฆษณา