คนที่ได้ตัวอักษร E (Extroverted) ความหมายของมันคือคุณมักจะได้รับพลังงานจากผู้คน การพูดคุย เป็นคนที่มีพลังงานสูง
ส่วนคนที่ได้ตัวอักษร I (Introverted) คือคนที่ได้รับพลังงานจากการอยู่คนเดียว สูญเสียพลังงานเมื่อต้องพบปะผู้คนจำนวนมากหรือสังสรรค์ และโดยปกติแล้วจะเป็นคนที่ไวต่อปัจจัยภายนอกเช่น กลิ่น เสียง หรือ แสงมากกว่าคน E
1
Introverted พักผ่อนกับตัวเอง VS Extroverted พักผ่อนกับเพื่อนฝูง
ตัวอักษรตัวแรกนี้เป็นตัวที่สำคัญมากตัวหนึ่งเพราะว่ามันจะบอกวิธีที่จิตใจของคนๆนั้นอยากจะทำเมื่อต้องการที่จะพักผ่อน โดยที่สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิดมากที่สุดคือเข้าใจว่าคน I คือคนที่เข้าสังคมไม่เป็น มีปัญหาด้านการเข้าสังคม ซึ่งจะบอกว่าไม่จริงเลย เพราะว่ามีคน I มากมายที่เข้าสังคมได้เก่งกว่าคน E แต่เพียงแค่ว่าถ้าในวันที่เขาเหนื่อยๆ เขาจะอยากนั่งอ่านหนังสืออยู่บ้านมากกว่าที่จะไปดื่มกินกับเพื่อนๆเท่านั้นเอง
ตัวอย่างของคน Introverted ที่ทุกคนน่าจะรู้จักคือ Queen Elizabeth II (ISFJ) ผู้นำจักรวรรดิอังกฤษ, Alicia Keys นักร้องผู้ร้องเพลงดังอย่าง If I ain’t got you (INFP) และ Michael Jordan นักบาสระดับตำนาน (ISTP) ซึ่งคนเหล่านี้มีสกิลการเข้าสังคมและอารมณ์ขันอย่างเหลือเชื่อแต่เพียงแค่ว่าคนที่เป็น Introverted นั้นจะชอบที่จะอยู่คนเดียวตอนที่อยากจะชาร์จพลังงาน
ตัวอย่างของคน Extroverted เช่น Bill Clinton อดีตประธาธิบดีสหรัฐ (ESFJ), Robert Downey Jr. นักแสดงนำใน Ironman (ENFP) และ นักร้องชื่อดังอย่าง Celine Dion (ENTP)
คนที่เป็น S (Observant) มีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ชอบอะไรที่จับต้องได้และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง มักจะมีนิสัยติดตัวและชอบที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นมากกว่าที่จะเดาอนาคต ชอบความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2
แต่ไม่ใช่ว่าคน S คือคนที่ไม่สนใจอนาคตนะคะ เขาแค่เป็นคนที่สนใจเรื่องอดีตและอนาคตที่จะสามารถส่งผลได้ถึงปัจจุบันได้มากกว่า เช่นเรื่องอดีตบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์ก็จะโยนมันทิ้งไป เช่นเดียวกันกับเรื่องอนาคตที่เกิดขึ้นได้ยาก
Observant พูดถึงเรื่องปัจจุบัน VS Intuitive ใช้จินตนาการ
ตัวอย่างคน S ที่น่าจะรู้จักกันคือ Natalie Portman ดาราสาวดีกรีออสการ์ (ISTJ), Frank Sinatra นักร้อง Jazz ที่ชื่อดังที่สุดคนหนึ่ง (ENTJ) และ Michael Jackson ราชาเพลงป๊อป (ISFP)
3
ในขณะที่คน N คือ William Shakespeare นักเขียนที่ผลงานอยู่เป็นนิรันดร์ (INFP), Elon Musk นักคิดค้นและนักประดิษฐ์แห่งยุคสมัย (INTJ) และ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple (ENTJ)
ตัวที่สาม T(Thinking) VS F (Feeling)
ตัวนี้จะอธิบายวิธีการตัดสินใจและการแก้ไขปัญหา
คน T (Thinking) มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจด้วยเหตุผลและเป้าหมาย ให้ความสำคัญกับตรรกะมากกว่าความรู้สึก มีแนวโน้มที่จะซ่อนความรู้สึกและให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าการร่วมมือกัน คน T นั้นจะเชื่อถือข้อมูลเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งหลายๆครั้งที่เขาอาจจะไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น แต่คนในลักษณะนี้นั้นจะมีความสามารถในการคิดแผนการที่รอบด้านและระมัดระวังได้ดี
คน F มีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวและแสดงความรู้สึกออกมาได้ดี เป็นคนที่มีเมตตาและเห็นใจคนอื่น จะไม่อยากเอาชนะเท่ากับคน T เพราะจะให้ความสำคัญกับความปรองดองและการทำงานร่วมกันมากกว่า การตัดสินใจส่วนมากจะทำเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม แต่จุดที่คนมักจะเข้าใจผิดคือคน F ไม่ใช่คนไม่มีตรรกะหรือเหตุผลนะคะ เพียงแค่ว่าเหตุผลของคนกลุ่มนี้จะมีอารมณ์เข้ามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจด้วยเท่านั้นเอง ในขณะที่ของคน T จะค่อนข้างใช้อารมณ์น้อยกว่า
9
Thinking ใช้เหตุผล VS Feeling ใช้ความรู้สึก
ตัวอย่างคนดังที่เป็น T คือ Thomas Edison ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ (ENTP), Margaret Thatcher ผู้นำหญิงแกร่ง (ENTJ) และ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft (INTP)
1
และตัวอย่างคนดังที่เป็น F คือ Britney Spears ราชินีเพลงป๊อป (ISFP), Taylor Swift ผู้ซึ่งคว้ารางวัล Artist of the decade (ESFJ) และ Barack Obama อดีตประธานาธิบดีสองสมัยของสหรัฐ (ENFJ)
คน P (Prospecting) มีแนวโน้มที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่งและหาโอกาสได้อยู่เสมอ เป็นคนยืดหยุ่น เป็นคนชิวที่ไม่ทำตามระเบียบแบบแผนและชอบที่จะเปิดโอกาสให้กว้างไว้เสมอ ไม่สามารถอยู่กับอะไรได้นาน เบื่อง่าย ชอบความแปลกใหม่ ตัวอย่างคน P คือ Albert Einstein ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ (INTP) , Tom Cruise นักแสดง Hollywood พระเอก Mission Impossible (ISTP) และ Madonna (ESTP)
2
Judging มีแบบแผน VS Prospecting ตัดสินใจเอาหน้างาน
คนที่เป็น A มีแนวโน้มที่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ไม่ชอบความเครียด ไม่ขี้กังวลและไม่กดดันตัวเองจนเกินไปเพื่อให้ถึงเป้าหมาย มั่นใจในตัวเองว่าจะฝ่าฝันปัญหาและความยากรายวันได้
2
ในขณะที่คน T มีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวกับความเครียด รับรู้ความรู้สึกได้หลากหลาย เป็นคนที่มุ่งหาความสำเร็จ เป็นคนที่ชอบให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบและอยากพัฒนาตนเอง เป็นคนที่จะเสียใจหรือเสียดายกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป
5
อ่านเผินๆเหมือนว่า A จะดีกว่า T เสมอใช่ไหมคะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนที่มีตัวอักษรสุดท้ายเป็น T มีแนวโน้มที่จะกล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งทีดีกว่าได้มากกว่าและยังคิดถึงทิศทางของชีวิตได้อย่างลึกซึ้งอยู่เสมอๆ และด้วยความมุ่งมั่นที่อยากทำผลลัพธ์ให้ดีนี่เองทำให้หลายๆครั้งคน T สามารถทำงานได้ดีกว่าคน A ได้
6
A ไม่กดดัน VS T มุ่งมั่น ขี้กังวล
สาระน่ารู้เพิ่มเติม: ตัวอย่างประเทศที่มีคน A เยอะที่สุดคือ อูกานดา (57.91%), บาร์บาโดส (57.11%), and ไนจีเรีย (57.01%) และประเทศที่มีคน T เยอะที่สุดคือ ญี่ปุ่น (57.48%) อิตาลี (53.8%) และ บรูไน (52.89%)
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเราใช้คำว่า “มีแนวโน้ม” กับทุกลักษณะนิสัย เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เป็นการบอกอนาคตว่า ถ้าเกิด A คนลักษณะนี้จะทำ B เสมอไป มันเป็นเพียงแนวโน้มเท่านั้นว่าเขามีแนวโน้มจะทำเรื่องเหล่านี้สูงกว่าอีกแบบหนึ่ง
เราเคยทำงานในบริษัทที่ให้ทุกคนทำแบบสอบถามนี้ และก็เห็นการตัดสินกันอย่างแรงในแบบที่ผิดๆว่า ที่คุณคุยกับลูกค้าพลาดเพราะคุณเป็น I หรือที่ทำงานไม่ทันเพราะคุณเป็น P จริงๆแล้วลักษณะนิสัยที่เป็นไม่มีผลใดๆกับความสามารถนะคะ อย่างที่ยกมาให้ดูว่าคนดังและประสบความสำเร็จมีอยู่ในทุกลักษณะนิสัย
จากคนรอบตัวเราที่ทำมา รวมถึงตัวเองด้วย ค้นพบเลยว่านิสัยเราเปลี่ยนตามวุฒิภาวะและกาลเวลา หลายๆคนเปลี่ยนจาก E เป็น I หรือบางคนเปลี่ยน 4 ตัวกลายเป็นคนละคนเลยก็มี ซึ่งการที่เราเจอคนๆหนึ่งซึ่งเป็น Type หนึ่งในตอนนี้ อีกสองปีข้างหน้าเขาอาจจะกลายเป็นคนละคนก็ได้
3.LOOK IN DETAILS! อย่าดูแค่ตัวอักษรให้ดู % ข้างในด้วย
จะเห็นเลยว่านอกจากตัวอักษร 5 ตัวแล้วยังมี % มาให้ด้วย ซึ่งถ้าลองดูจากตัวอย่างนี้จะเห็นว่า E เป็น 51% I เป็น 49% ซึ่งใกล้เคียงกันมากๆ ถึงแม้ว่าจะได้ E แต่คนนี้ย่อมมีความเป็น I อยู่สูงมากเช่นกัน ดังนั้นแล้วไม่ได้แปลว่าเขาคนนี้จะอยากอยู่กับคนเสมอไป เขาอาจจะมีช่วงเวลาที่อยากอยู่กับตัวเองพอๆกันเลยก็ได้
อย่างที่เราได้บอกไว้ตอนต้นว่าอันนี้เป็นเพียงแนวโน้มเท่านั้นและแนวโน้มจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ % ของผลคะแนนเพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้จักใครจริงๆ อย่าดูแค่ตัวอักษรแต่ควรดู % และอย่าลืมเก็บหน้า Result ของตัวเองแบบมี % ไว้ด้วยนะคะ
PLEASE DO
1. IMPROVE YOURSELF นำมาพัฒนาตนเอง
เมื่อรู้นิสัยของตัวเองแล้ว ก็สามารถอ่านและเรียนรู้ข้อดีข้อเสียของ Type ตัวเองในสถานการณ์ต่างๆได้ เราแนะนำให้อ่านและลองย้อนมองตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้นไหม ถ้ามีจุดไหนแก้ไขได้ก็แก้ไข ซึ่งในโพสอื่นๆในซีรีส์นี้ เราจะมาเล่ารายละเอียดแต่ละ Type ให้อ่านนะคะ
ยกตัวอย่างกรณีที่แฟนที่เป็นคน E (Extroverted) และ I (Introverted) คบกัน คน E ก็อาจจะงอนคน I ได้ง่ายๆว่าไม่ยอมออกจากบ้านมาหา ไม่ยอมไปเจอเพื่อนตัวเอง แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นแค่การชาร์จพลังงานของอีกฝั่ง หรือคน I อาจจะงอนที่คน E ดู friendly ไปกับทุกคนทำให้ดูไม่สนใจตนเองทั้งๆที่จริงๆก็อาจจะเป็นแค่วิธีการหาพลังงานของคน E เช่นกัน
อยากจะชวนให้ทุกคนทำแบบทดสอบนี้ตาม Link นี้กัน เพื่อที่ว่าโพสอื่นๆที่ตามมาเราจะได้อ่านอย่างมีอรรถรสมากขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองและคนใกล้ตัวเป็น Type ไหนนะคะ :)