20 ก.พ. 2020 เวลา 01:00 • ธุรกิจ
🔥กรณีศึกษาสามก๊กในคลาส MBA Ep.1
เล่าปี่จากพ่อค้าทอเสื่อใช้เพียงคำพูด ซื้อใจคน
สุดท้ายได้เป็นฮ่องเต้!
Pinterest
Distruption ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของ มนุษยชาติ ซึ่งมีทั้งคนที่ลำบากยากแค้น และคนที่แสวงหาโอกาส จนรำ่รวยพลิกชีวิต ซึ่งดูคล้ายกับกลียุคในสามก๊กเป็นอย่างมาก
เพราะในยุคนั้นก็มีทั้งคนที่ยากลำบาก คนที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่ คนที่สร้างตัวเองจากศูนย์
ถ้าเปรียบเทียบชีวิตในสามก๊ก กับชีวิตจริงนั้น เล่าปี่ก็เปรียบเสมือนคนทำธุรกิจ Startup ที่เริ่มต้นธุรกิจแบบไม่มีต้นทุน ขายไอเดีย รวบรวมทีม และเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเขาเริ่มต้นการเดินทางกับม้าเพียง 1 ตัวเท่านั้น
เล่าปี่ หรือ หลิว เป้ย์ เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ฮั่น(ราชวงศ์ที่ปกครองจีนในยุคนั้น) ครอบครัวของเขา ทอเสื่อขาย ในหมู่บ้าน เมื่อเกิดกลียุค ทำให้ราชวงศ์ฮั่นเสื่อมและกำลังจะล่มสลายลง ทำให้เขาอยู่เฉยๆไม่ได้แม้จะมีอาชีพแค่ทอเสื่อขาย
ถ้าเทียบกับการทำธุริจในปัจจุบัน เล่าปี่ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีทุน ไม่มีคอนเนกชั่น ไม่มีแม้แต่ไอเดีย มีเพียง Passion ที่อยากจะเปลี่ยนให้สังคมตอนนั้นดีขึ้นเท่านั้นเอง
บทเรียนที่ 1 ซื้อใจคน ด้วย Passion รวมพลคนเก่งและมีอุดมการณ์เดียวกันให้ได้
Youtube com
"เมื่อคุณเอาแต่พูดแต่ไม่ทำอะไร จะไม่มีใครช่วยเหลือคุณ แต่ถ้าคุณเริ่มลงมือทอะไรบางอย่าง อย่างตั้งใจ จะมีคนเห็นจุดยืนของคุณและช่วยเหลือคุณเอง" คำกล่าวนี้ถูกพิสูจน์โดยเล่าปี่ เขาเริ่มออกเดินทางแม้จะไม่มีอะไรเลย ทำให้เขาได้พบกับกวนอูและเตียวหุย ขุนพล คนสำคัญ ที่สุดท้ายยอมเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา
👉[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย] เล่าปี่มีจุดยืนทางความคิดที่มั่นคงอย่างมาก ถึงกับขนาดที่กวนอู ถึงกับกล่าวว่า เขานับถืออยู่สามอย่างในชีวิต คือ ฟ้า ดิน และเล่าปี่ หมายถึงเล่าปี่มีความมั่นคงทางความคิดเทียบเท่า ฟ้า ดิน ที่ไม่มีวันพังทลายนั่นเอง
การเอาคนเก่งมาเป็นพวกได้นั้น เป็นเพราะ "คำพูด"ของเขาที่สามารถซื้อใจคนได้ เล่าปี่ถึงแม้จะไม่มีอะไรติดตัวเลย แต่สิ่งที่เขามีคือการใช้คำพูด และความซื่อสัตย์ มีจุดยืนที่มั่นคง เขาตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่หักหลังราชวงศ์ฮั่น และจะปราบทรราชให้ได้ ด้วยบุคลิกของความซื่อสัตย์ เข้มแข็ง มั่นคงเขาสามารถชักชวน กวนอู และเตียวหุยให้ มาร่วมสู้กับเขาได้
บทเรียนที่2 การมีคนเก่งในองค์กรไม่มีประโยชน์ ถ้า ไม่มี "คนที่ใช้คนเป็น"
หลังจากนั้นไม่นานเล่าปี่สามารถรวบรวมกำลังพลจนขึ้นสู่การเป็นผู้นำของจ๊กก๊กได้ แต่ไม่ว่าเขาจะรบอย่างไร เขาก็มักจะแพ้เสมอ แม้มีขุนพลที่เก่งที่สุดในยุคนั้นถึงสามคนคือ กวนอู เตียวหุย จูล่ง และยังไม่รวมที่ปรึกษาเก่งๆอีกมากมายที่ยอมถวายชีวิตสู้ไปพร้อมกับเขา
ครั้งหนึ่งเล่าปี่เคยถามคำถามนี้กับหมอดูเทวดาอย่าง
สุมาเต๊กโช (อาจารย์ของข่งเบ้ง) ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จและรวมแผ่นดินได้ทั้งที ทั้งที่ขุนพลของเขาก็มีฝีมือไม่แพ้ก๊กอื่นๆ
สุมาเต๊กโช ดูลักษณะของเล่าปี่และมั่นใจมากว่า เล่าปี่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะมีขุนพลมือหนึ่งหลายคน และมีคนพร้อมถวายชีวิตให้อุดมการณ์ของเขาอีกมาก แต่ที่ไม่สำเร็จซักทีเป็นเพราะเล่าปี่ขาด คนที่ "ใช้คนเป็น" มาสั่งการแทนเขาอีกทีหนึ่ง
โดยครั้งนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเล่าปี่เลยก็ว่าได้ เพราะสุมาเต๊กโชได้แนะนำ ข่งเบ้ง และบังทอง กุนซือระดับตำนาน ทั้งสองให้เล่าปี่ได้รู้จัก และเมื่อข่งเบ้งเข้ามาบริหารจ๊กก๊กของเล่าปี่ เขาก็ใช้คนได้อย่างชาญฉลาด ทำให้เล่าปี่ก็รุ่งเรืองขึ้นอย่างมากจน เป็นใหญ่ที่สุดในสามก๊กเลยทีเดียว
เคสนี้เปรียบเสมือน คนที่มักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เจ้าของกิจการในยุคนี้ ต้องขายของหลายช่องทาง และทำงานหลายอย่างมากเกินไป
พวกเขามักจะขายทั้งของหน้าร้าน ขายของออนไลน์ ตอบลูกค้าเอง แพ็คของส่งเอง และยังต้องไปติดต่อSuplier เองอีกต่างหาก ทำให้ธุรกิจไม่เติบโตเท่าที่ควร เพราะวันๆมีแต่เรื่องยุ่งๆ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องสำคัญอย่างการพัฒนาการบริการ หรือหาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์มาขาย รวมถึงคิดกลยุทธ์รับมือเรื่องต่างๆในอนาคต
สิ่งที่ควรทำคือ เราควรจะหาผู้ช่วย ที่สามารถนำเครื่องมือต่างๆมาทำให้ธุรกิจเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดเวลามากชึ้นด้วยนั่นเอง
👉อย่างยุคนี้ อาจไม่จำเป็นต้องหาคนอย่างข่งเบ้งมาช่วย แต่เราอาจจะหาเครื่องมือต่างๆมาช่วยบริหารจัดการร้านค้าของเรา เช่น Platform ที่บริหารจัดการทุกช่องทางในแอพเดียว หรือเราอาจจะจ้าง เอเจนซี่ให้ช่วยดูแลช่องทางออนไลน์ให้เราก็ได้ เพื่อแบ่งงานให้ถูกที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วธุรกิจของเราก็จะเติบโตได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
บทเรียนที่3 เลือกที่จะใช้คนแล้ว ต้องมอบหมายงานให้เหมาะสม
เล่าปี่ถือเป็นบุคคลที่ซื้อใจคนได้เก่งมาก แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดในยุคนั้นอย่างข่งเบ้ง ก็ยังโดนซื้อใจไปด้วย หลายๆครั้งที่สถานการณ์คับขัน ต้องชี้เป็นชี้ตาย เล่าปี่ก็มักจะมอบงานใหญ่ให้ขุนพล และที่ปรึกษา อย่างเต็มใจ
ทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างเต็มที่และเต็มใจ ภายใต้การบริหารงานแบบนี้
หลายครั้งผู้บริหาร มีคนเก่งๆอยู่ในองค์กร แต่ไม่กล้าที่จะใช้ให้เขารับงานใหญ่ๆ และมักจะมอบหมายงานที่พนักงานไม่ถนัด หรือไม่ตรงกับสายของเขาเท่าไหร่ แต่มักจะใช้งานพนักงานที่เอาใจนายเก่งแทน (ซึ่งคนไทยมักมีนิสัย ใช้คนที่ใช้ง่ายที่สุด ไม่ใช่เก่งที่สุด)
โดยธรรมขาติของคนเก่งนั้นเขามักจะไม่อยาก เลียแข้ง เลียขาเจ้านายนักเพราะเขาเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะเด่นขึ้นมาด้วยฝีมือเองไม่ใช่ด้วยคำพูดเอาใจนาย
ซึ่งครั้งหนึ่งเล่าปี่ก็เคยทำพลาดเช่นกัน ในตอนนั้น ข่งเบ้งได้ส่งจดหมายแนะนำไปให้ บังทอง สุดยอดกุนซือที่เก่งระดับเดียวกับข่งเบ้ง เพื่อให้บังทองนำจดหมายนี้ไปสมัครเข้าร่วมกับเล่าปี่ แต่บังทองกลับมาสมัครเข้าร่วมกับเล่าปี่โดยไม่ใช้จดหมายที่ข่งเบ้งเขียนให้
ซึ่งบังทองนั้นเป็นคนที่ อัปลักษณ์ ทำให้เล่าปี่ไม่กล้าให้ทำงานใหญ่จึงส่งบังทองไปเป็นแค่นายอำเภอ บังทองซึ่งเป็นคนเก่ง ก็มีอีโก้ในตนเอง จึงไม่ยอมทำงาน เอาแต่กินเหล้า สุดท้ายเล่าปี่จึงย้ายเขาให้มาทำหน้าที่เป็นกุนซือ เขากลับทำผลงานได้ดีไม่แพ้ข่งเบ้งเลยทีเดียว
ถ้าหากเรามีคนเก่งเราก็จะต้องใช้เขาให้เหมาะสมกับงานนั้นๆด้วยนั่นเอง คนเราถ้าอยู่ผิดที่ ผิดจุด ก็ไม่อยากทำงาน หมดไหในการทำงานนั่นเอง ผู้บริหารที่ดีต้องมองให้ออกว่า พนักงานคนไหน เหมาะสมกับงานแบบไหน และเขามีความสุขในการทำงานตรงนั้นรึเปล่า
ติดตามเรื่องราวดีๆ สาระธุรกิจ เรื่องเล่าแรงบันดาลใจ
ปรับญาการใช้ชีวิตแบบคนสำเร็จ ได้ที่ StandupDaily อัพเดททุกวัน8.00น.
โฆษณา