20 ก.พ. 2020 เวลา 08:17 • บันเทิง
Pain and Glory
หนึ่งในการแสดงดีที่สุดของ “แอนโตนิโอ แบนเดอรัส”
“แด่ฝัน ชีวิตและความเจ็บปวด” หนึ่งในหนังที่ได้รับการพูดถึงมากบนเวทีรางวัลระดับโลก โดยเฉพาะ “แอนโตนิโอ แบนเดอรัส” นักแสดงนำที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงจากสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม...
อุปสรรคเยอะเหลือเกินกว่าจะได้ดูหนังรอบพิเศษเรื่องนี้...แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นมาได้แบบสบายๆ
ต้องบอกว่าเป็นหนังที่ดูยากกว่าที่คิด ทั้งเนื้อเรื่องดราม่าที่หนักหน่วงและวิธีการเล่าเรื่องแบบที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ดูจบก็ยังอึนๆ......เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจหรือตามไม่ทันหลายๆเรื่อง แต่พอมานั่งตกตะกอนดีๆแล้ว...จริงๆหนังก็ไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น แค่อาจต้องใช้เวลาสะระตะสักเล็กน้อย
ทั้งเรื่องคือเรื่องราวของ “ซัลวาดอร์ มัลโล” (แอนโตนิโอ แบนเดอรัส) ผู้กำกับและนักเขียนบทคนดังของสเปน ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่เหมือนจะหมดไฟในการทำงาน
ซึ่งตรงนี้...ผู้กำกับตัวจริงของเรื่องคือ “เปโดร อัลโมโดวาร์” บอกว่าเรื่องราวของ “ซัลวาดอร์” เป็นเรื่องจริงของตัวเองที่หยิบยกมาถ่ายทอดไว้
หลายคนคงมีคำถามว่าชีวิตของผู้กำกับมีอะไรน่าสนใจ?
ถ้าตอบแบบเร็วๆคงอยากตอบว่า...ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ “บทเรียน” จากชีวิตเขาต่างหากที่ทำให้เรื่องราวดูน่าสนใจขึ้นมาก
จากชีวิตที่แสนจะว่างเปล่าตั้งแต่ต้นเรื่อง...อะไรทำให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
“แอนโตนิโอ แบนเดอรัส” รับบทเป็น “ซัลวาดอร์ มัลโล” นักเขียนบทและผู้กำกับชื่อดังที่หมดไฟในการใช้ชีวิตและทำงาน เรื่องราวครึ่งแรกเผยให้เห็นชีวิตช่วงขาลงของเขา ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงานและปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าทำให้เขาแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
ช่วงแรกๆเราก็แอบคิด...หรือหนังจะเป็นธีมซึมเศร้า (เหมือนที่หนังดราม่าเรื่องอื่นๆฮิตช่วงสองสามปีที่ผ่านมา) แต่ครึ่งหลังก็เฉลยว่ามันไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของ “พลังใจ” ที่ดับหมอด และเมื่อเขาได้เจอขุมพลังดีๆ...เขาก็กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
รวมๆเราว่าหนังดูเนิบๆ แต่วิธีเล่าต่างหากที่น่าสนใจ มีการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเล่าชีวิตของ “ซัลวาดอร์” ในช่วงชีวิตต่างๆ ทั้งเป็นแบบที่เซ็ตฉากขึ้นมาใหม่และทั้งผ่านคำบอกเล่าของตัวละคร เอาจริงๆก็ต้องตั้งใจดูมากๆถึงจะตามทัน แต่กระนั้นหนังก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน แค่เล่าให้เห็นภาพและมีสีสันมากขึ้นเท่านั้น
ส่วนตัวคิดว่าจุดเด่นคือการแสดงของ “แอนโตนิโอ แบนเดอรัส” และวิธีการเล่าที่แปลกแหวกแนว ไม่ค่อยคุ้นเหมือนวิธีเล่าอย่างหนังฮอลลีวู้ด (หรือหนังตลาดทั่วไป)
“แอนโตนิโอ” ทำให้เราน้ำตาซึมหลายรอบ โดยเฉพาะซีนอารมณ์ที่กระชากเรากลับไปกลับมาได้หลายครั้ง ถึงจะไม่ค่อยอินกับปมปัญหาของเขาแต่ก็อินไปด้วยได้ไม่ยาก...เรียกว่าแพ้กับน้ำตาเอ่อ คลอๆ ของเขามากทีเดียว
วิธีเล่าเรื่องก็อย่างที่เกริ่นถึงตอนต้น...ค่อยข้างจะแหวกและไม่เหมือนใคร ครึ่งแรกมีความพยายามจะ wrap up ชีวิตของซัลวาดอร์ ในทุกๆมิติ ปูทางให้ครึ่งหลังที่จะให้เราเห็นว่าเขาผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากไปได้อย่างไร
ส่วนตัวตีความว่า “ความรัก” จากทั้งในในอดีตและปัจจุบันของเขาทำให้ “ซัลวาดอร์” ผ่านเรื่องราวเลวร้ายต่างๆมาได้ จะเห็นได้ว่าต้นเรื่องเขาเหมือนคนที่ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับรู้และไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเท่าไหร่นัก...แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงกลางเรื่อง เมื่อเขาได้เจอ “แฟนเก่า” รวมทั้งสิ่งของจากอดีต ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากของเขากลับมาชุ่มฉ่ำได้อีกครั้ง
จะว่าความรักเป็นพลังบวกของเขาก็ได้ เรื่องดีๆแม้จะเพียงน้อยนิดก็ช่วยฉุดรั้งซัลวาดอร์จากจุดที่เลวร้ายที่สุด ซึ่ง “สาร” นี้ก็น่าจะมีน้ำหนักและพลังมากพอจะส่งต่อ ทำให้คนดูอย่างเราๆที่อาจจะกำลังหมดหวังหรือหมดพลังให้มีแรงฮึดสู้กันต่อไปได้
จะว่าไปหนังก็ไม่ได้ “หดหู่” เหมือนตอนเราดูตัวอย่าง เอาจริงๆก็อาจจะมีเหี่ยวๆช่วงแรกๆ แต่ก็น่าแปลกที่กราฟมันค่อยๆดีขึ้น จากสีเทาแก่ๆก็ค่อยๆอ่อนลง และเริ่มกลับสู่โทนสีสดใสในช่วงท้ายๆ
เอาเป็นว่าหนังไม่ Mass ดูไม่ง่ายแต่ก็เข้าใจไม่ยาก (ถ้าตั้งใจดู) “แอนโตนิโอ” เล่นดีมาก สมกับการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขา “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” ทั้งจากเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำ ที่สำคัญ “สาร” ของหนังดีทีเดียว (แม้จะลึกลับไปสักหน่อยแต่ก็เป็นสากลไม่น้อย) ใครเล่าจะไม่ต้องการ “ความรัก” ดีๆ...
Love will lead you back...
#แอบสปอยล์
โฆษณา