27 ก.พ. 2020 เวลา 10:23 • ครอบครัว & เด็ก
ยิ่งกว่่าไวรัสคือการบูลลี่
เราเป็นอีกบ้านที่กักตัว 14 วันหลังจากการเดินทางของสามีไปทำงานในประเทศกลุ่มเสี่ยง
ก่อนที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะประกาศขอให้นักเรียนที่มีผู้ปกครองเดินทางในประเทศเหล่านี้หยุดเรียนเป็นเวลา 14 วัน เรายอมรับว่าเราลังเลหนักมากว่าจะให้ลูกไปโรงเรียนดีรึเปล่า
หลายความคิดตีกันในหัวเต็มไปหมด นอกจากประเด็นเรื่องกลัวว่าสามีจะติดมารึเปล่า ลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อนรึเปล่่า อีกประเด็นที่เรากังวลคือการ bully
เรากลัวว่าลูกจะถูกเพื่อนรังเกียจหรืิอถูกเรียกว่ายัยโคโรนา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเองก็คงจะต้องตั้งรับปัญหาใหญ่อีกปัญหาแน่นอน แต่ในที่สุดเราตัดสินใจให้ลูกทั้ง 2 กักตัวอยู่บ้าน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับทางโรงเรียนออกประกาศพอดี
South China Morning Post
เราเขียนอีเมลล์บอกครูประจำชั้นว่าลูกสาวคงต้องหยุดเรียนเพื่อกักตัวพร้อมกับความกังวลถึงเรื่องของการ bully ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากกลับไปเรียน
คุณครูตอบเรากลับว่าไม่ต้องกังวล คุณครูจะพยายามทำความเข้าใจกับเด็กๆ ในห้องด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. คุณครูทำความเข้าใจกับเด็กๆ ในห้องว่่ามาตรการการกักกันตัวเองคืออะไร และก็เน้นย้ำว่า การกักกันไม่ได้หมายความว่าคนที่กักกันจะติดไวรัสเสมอไป
2. คุณครูพยายามทำให้เรื่องการกักกันเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำ คุณครูยกตัวอย่างถึงเด็กห้องอื่นๆ รวมถึงในโรงเรียนอื่นที่กักกันตัวเองหลังจากเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง
3. คุณครูให้เด็กในห้องแสดงความเห็นร่วมกันว่าจะช่วยเหลืิอเพื่อนๆ ที่กักกันตัวเองอยู่ที่บ้านยังไงดี
ตั้งแต่วันแรกที่หยุดเรียน ทุกๆ วันคุณครูจะส่งคลิปวิดีโอของคาบ homeroom ที่มีการร้องเพลงและทำกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่ลืมพูดถึงชื่ิอของลูกเราทุกครั้ง และลูกเราก็อัดคลิปกลับไปให้เพื่อนๆ ของเค้าดูที่ห้อง ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่า สารที่คุณครูพยายามส่งออกไปบอกเด็กคือทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ลูกเรายังเป็นสมาชิกของห้อง ส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ได้มีความแปลกแยกใดๆ
ก็คงต้องลองถามฟีดแบคจากลูกต่อไปว่าหลังจากที่กลับไปเรียนแล้วเป็นยังไงบ้าง และเราก็หวังว่าวิธีที่คุณครูพยายามทำมาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นมันจะได้ผล☺️
ป.ล. จนถึงวันนี้ 27 ก.พ. เป็นวันที่ 14 ของการกักกันตัวเอง ทุกคนยังสบายดี ไม่มีอาการอะไรค่ะ โชคดีที่โรงเรียนปิดเบรค 1 สัปดาห์ก่อนหน้า เด็กๆ จึงหยุดเรียนแค่ 5 วันค่ะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา