แชร์ ประสบการณ์ ลงทุนในหุ้น 6 ปี มีเงินล้านแล้วค่ะ
(สรุปประเด็น แบบมีตัวเลขโชว์กำไรให้เห็นครับ)
.
- ตอนแรก มาจากบ้านด้วยกระเป๋าใบเดียว วุฒิปวส. 1 ใบ และหนี้กู้เรียนเกือบ 40,000 บาท
.
- ผ่านมา 16 ปี ตอนนี้มีบ้าน 2 ชั้นบนเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน (ยังผ่อนไม่หมดค่ะเหลือ 6แสนกว่าบาท ) ที่ดินอีก 1 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน รถเก๋งอีก 1 คัน ซื้อด้วยเงินสดเกือบ 700,000 บาท
.
- เริ่มรู้จักลงทุนในหุ้นเมื่อปลายปี 2551 ด้วยเงินลงทุนหลักแสนค่ะ ก่อนที่จะเริ่มเล่นหุ้น ก็มีอาชีพเสริมด้วยการขายของตลาดนัดตอนเย็นหลังเลิกงาน รายได้ตรงนี้ทำให้มีเงินเก็บจนสามารถซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านได้ค่ะ
.
- เมื่อ 11 ปีที่แล้วรายได้จากการขายของดีค่ะ เฉลี่ยประมาณ 3-6 หมื่นบาท แต่เป็นคนประหยัด เก็บเงินเก่ง และรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้นับเงิน แล้วเอาไปฝากไว้ที่ธนาคาร แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป เมื่อพี่ที่ทำงานคนหนึ่ง เขาแนะนำว่า จะขายของให้เหนื่อยทำไม ทำไมไม่ลองให้เงินมันทำงานแทนเราบ้างหล่ะ
.
- ประกอบกับตอนนั้น คนเริ่มหันมาค้าขายกันมากขึ้น ของเริ่มขายไม่ค่อยดี รายได้ตกเหลือกำไรไม่ถึง 20,000 บาท/เดือน และประกอบกับช่วงนั้นเงินเดือนก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว เลยตัดสินใจเริ่มลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง
.
- เริ่มซื้อหุ้นตัวแรก วันที่ 09/07/51 ตอนนั้น Set ยังไม่ถึง 500 จุดเลยค่ะ เริ่มซื้อตัวแรกก็ PTTEP ราคา 166 บาท ซื้อไม่นานหุ้นก็ลงมาเรื่อย ๆ จนเหลือราคาถูกสุดที่เคยซื้อก็คือ 90 บาท
.
- เพราะไม่เคยศึกษาเลยว่าต้องเข้ารับหุ้นที่ราคาเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าเริ่มเข้าตลาดเร็วไปไม่กี่เดือน ราคาก็ลงมาเรื่อย ๆเลย ซื้อหนัง ตีแตก ของ อ. นิเวศ มาก็อ่านไม่จบ แล้วซื้อหนังสือมาอีก 2-3 เล่ม ก็อ่านไปได้ครึ่งเล่มเหมือนเดิม
.
- ไม่เคยศึกษาทางเทคนิค ไม่รู้เรื่องการดูกราฟ สมัยก่อนไม่มีเน็ตใช้ด้วยค่ะ อยู่หอพัก อาศัยดูข้อมูลจากช่อง Money channel แล้วนั่งจดราคาหุ้นที่สนใจแต่ละตัว จดทุกวัน วันไหนว่าง นั่งเฝ้าแต่หน้าจอ Tv กับสมุดเล่มหนึ่ง ก็ซื้อ ๆ ขาย ๆ มาเรื่อย ๆ แต่แปลกที่ตอนสมัยนั้นกล้าเล่น Dat Trade คงเป็นเพราะความไม่รู้ เลยไม่กลัว
.
- ถ้าใครอยู่ในตลาดนาน ๆ คงจำช่วงที่หุ้นยังไม่ถึง 500 จุดได้ และช่วงที่หุ้นขึ้นจาก 500 ไป 900 จุด แล้วร่วงลงมาอย่างไม่เป็นท่า ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้จักการขายเก็บกำไรคืนมาก่อน ค่อยคิดแต่ว่าเดี๋ยวมันต้องขึ้น
.
- จาก port เขียว ๆ กำไร หลักแสน set ลงทุกวัน วันละ 30 กว่าจุด กำไรหายหมด แล้วก็กลายเป็นตัวเลข สีแดง ๆ จากหลักหมื่น กลายเป็นหลักแสน ไปจนถึงเกือบสามแสน แล้วก็ปิดจอเลิกซื้อ
.
- สิ้นปี 2552 ได้กำไรจากการขายหุ้น หักขาดทุนจากบ้านปู เหลือประมาณ 167,000 บาท ปี 2552 เป็นปีที่ขยัน ซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นมาก พอเข้าปี 2553 ทั้งปี ซื้อหุ้นแค่ 9 ครั้ง และขายหุ้น 10 ครั้ง ได้กำไรมาประมาณ 100,000 นิด ๆ
.
- ปี 2554 ซื้อหุ้น 5 ครั้ง และขายหุ้น 6 ครั้ง ได้กำไรมา ประมาณ 55,000 บาท จะสังเกตุได้ว่ากำไรลดลงเรื่อย ๆ เลย ในแต่ละปี
.
- ปี 2555 ไม่ได้ซื้อหุ้นเข้าport เลย แต่โชคดีมากเพราะสะสมหุ้น stpiไว้ที่ราคาต่ำ ๆ ถือไว้ 2 ปี ได้กำไร 108.3% และได้กำไรจาก Jas มา 24.45% ถือไว้ 9 เดือน รวมขายหุ้น 2 ตัว ได้กำไร ประมาณ 107,000 บาท
.
- ปี 2556 เป็นปีที่ซื้อหุ้นเยอะเหมือนกัน ทั้งปีซื้อไป 52 ครั้ง และขายไป 21 ครั้ง ได้กำไรมาประมาณ 270,000 บาท จะเห็นว่าทุกปีไม่มีการขายขาดทุนเลย เพราะสโลแกนของเราคือ ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ขอบริษัทอย่าเจ๊งก็แล้วกัน
.
- ตลอดระยะเวลาที่ลงทุนมามีหลาย ๆ ตัวที่เคยติดลบ เยอะ ๆ แต่เมื่อราคาเริ่มขึ้น บางคนอาจจะรีบขาย เพราะคิดว่าถึงต้นทุนของตัวเองแล้ว รีบขายเอาเงินไปเล่นตัวอื่นดีกว่า แต่เราไม่ทำอย่างนั้น เราจะรอเวลาที่ได้กำไรเยอะ ๆก่อนถึงค่อยขาย
.
- ถ้ารอบนี้ขายไม่ทัน ไว้รอขายรอบหน้าก็ได้ อันนี้อาจไม่เหมาะสำหรับคนใจร้อนนะคะ และก็ไม่ได้คิดว่าตนเองทำถูกต้องหรอกนะคะ บางทีก็มีคิดเสียดายบ้างว่าทำไมเราไม่ขาย แล้วค่อยซื้อใหม่ก็ได้ แต่อันนี้มันคงเป็นนิสัยในการลงทุนของเราไปแล้วค่ะ
.
- อย่างที่มีคนบอกไว้ว่าให้หา "สไตส์การลงทุนของแต่ละคน"
.
- สุดท้ายนี้แอดมินแนะนำว่า ทุกคนมีสไตล์การลงทุนของตัวเอง ควรศึกษาให้ดีก่อน กระทู้นี้เป็นตัวอย่างชั้นดีที่มีทั้งส่วนที่เรียนรู้และก้าวสู่ความสำเร็จขั้นต้นได้อย่างดี ขอบคุณคุณแสงแดดมากครับ
.
(โพสต์นี้สรุปมาจากบางส่วนในกระทู้พันทิป จากคุณ แสงแดดสีจาง กระทู้ฉบับเต็มอยู่ในคอมเมนต์แรกครับ)
.