4 มี.ค. 2020 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
อำแดงเหมือน บ้านบางม่วง แขวงเมืองนนทบุรี
อำแดงเหมือนเดินทางจากเมืองนนทบุรีมายังกรุงเทพมหานครเพื่อรอเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกพระที่นั่งสุทไธสวรรย์เพื่อทรงรับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาของราษฎรอยู่เป็นเนื่องนิตย์นับเป็นพระราชกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
อำแดงเหมือนจึงใช้โอกาสนี้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง ด้วยถูกบิดามารดาบังคับให้แต่งงานเป็นอนุภรรยาของนายภูเจ้าของโรงหล่อพระ แต่อำแดงเหมือนหาได้สมัครใจเป็นอนุภรรยาของนายภูไม่ เหตุก็ด้วยอำแดงเหมือนนั้นมีชู้รักอยู่ก่อนแล้วคือนายริด บิดามารดาของอำแดงเหมือนเมื่อบังคับอำแดงเหมือนให้ทำตามใจตนไม่ได้ จึงเกิดความไม่พอใจจึงได้ทุบตี บังคับขู่เข็ญ เป็นนานาประการแก่อำแดงเหมือน อีกทั้งนายภูเองก็ฟ้องร้องนายริดตลอดจนบิดามารดาของนายริดให้ได้ยาก สร้างความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรมแก่อำแดงเหมือนและนายริด จึงได้พากันมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายฎีกา เพื่อขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมเป็นที่พึ่ง และรับพระราชทานพระเมตตาทรงปัดเป่าทุกข์แก่ตนทั้งสอง
เมื่อทรงรับฎีกาของอำแดงเหมือน และทรงทราบความในฎีกาดังกล่าวโดยตลอดแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชวินิจฉัย ความปรากฏในพระบรมราชโองการตอนหนึ่งดังนี้
"มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศแก่ลูกขุนตระลาการโรงศาล แลราษฎรในกรุงหัวเมืองให้ทราบทั่วกันว่า เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๗ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก (วันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๐๘) เสด็จออกหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ มีหญิงสาวคนหนึ่งทำเรื่องถวายฎีกามาทูลเกล้าฯ ถวาย ความในฎีกาดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้าอำแดงเหมือน เปนบุตรนายเกตกับอำแดงนุ่ม อายุข้าพระพุทธเจ้าได้ ๒๑ ปีตั้งบ้านเรือนอยู่บางม่วง แขวงเมืองนนทบุรี มีความทุกข์ร้อน ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายเรื่องราวให้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระราชอาญาเป็นล้นเกล้าฯ เดิมข้าพระพุทธเจ้ากับนายริด รักใคร่เป็นชู้กัน บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าหารู้ไม่ ครั้นอยู่มา ณ เดือน ๔ ปีชวด ฉศก นายภูให้เถ้าแก่มาขอข้าพระพุทธเจ้าต่อบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า บิดามารดาก็ยอมให้ข้าพระพุทธเจ้าเปนภรรยานายภู ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอม บิดามารดาโกรธ ด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้า
ครั้น ณ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ ปีชวด ฉศก เวลาพลบค่ำ บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าให้นายภูฉุดตัวข้าพระพุทธเจ้าไปที่บ้านเรือนนายภู นายภูให้ข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปในห้องเรือนข้าพระพุทธเจ้าไม่ไป ข้าพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ชานเรือนนายภูจนรุ่งขึ้นเวลาเช้า ชายหญิงชาวบ้านได้รู้เห็นเปนอันมาก แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาบ้านเรือนบิดามารดา ข้าพระพุทธเจ้า ยิดามารดาก็ด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้าอีก จะให้ข้าพระพุทธเจ้าเปนภรรยานายภูให้จงได้ แล้วบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าให้นายภูฉุดตัวข้าพระพุทธเจ้าไปที่บ้านเรือนนายภูอีกครั้งหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าก็หาขึ้นไปบนเรือนนายภูไม่ แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาบ้านเรือนบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า บิดามารดาโกรธด่าว่าทุบตีข้าพระพุทธเจ้าแล้วว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอมเปนภรรยานายภู จะเอาปืนยิงข้าพระพุทธเจ้าให้ตายข้าพระพุืธเจ้ากลัวก็หนีไปหานายริดชู้เดิมของข้าพระพุทธเจ้าได้สองสามวัน บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าสั่งผู้มีชื่อให้บอกนายริด ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมาบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า นายริดก็ให้ผู้มีชื่อเถ้าแก่เอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมาบิดามารดาข้าพระพุทธเจ้า บิดามารดาข้าพระพุทธเจ้าจึงพาเถ้าแก่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปที่บ้านกำนันในเวลานั้นนายภูไปคอยอยู่ที่บ้านกำนัน นายภูจึงอายัดตัวเถ้าแก่ไว้แก่กำนัน
ครั้น ณ เดือน ๗ ปีฉลู สัปตศก มีหมายหลวงสยามนนทเขตขยันปลัดไปเกาะ (จับกุม) ข้าพระพุทธเจ้ากับนายริดกับบิดามารดามาที่ศาลากลางเมืองนนทบุรี หลวงปลัดกรมการถามข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าให้การว่าข้าพระพุทธเจ้าหาได้รักใคร่ยอมเปนภรรยานายภูไม่ พระนนทบุรีแลกรมการเปรียบเทียบตัดสินว่า ถ้านายภูสาบานตัวได้ว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ยอมเปนภรรยานายภูให้นายริดแพ้ความนายภู นายภูไม่ยอมสาบาน แล้วกรมการเปรียบเทียบว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าสาบานตัวได้ว่า ไม่ได้ยอมเปนภรรยานายภู ให้นายภูยอมความแล้วแก่กัน นายภูก็หายอมให้ข้าพระพุทธเจ้าสาบานไม่
ครั้นเดือน ๙ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก นายภูกลับฟ้องกล่าวโทษนายริดบิดามารดานายริด กับผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คน มีความแจ้งอยู่ในฟ้องนายภูนั้นแล้ว พระนนทบุรีแลกรมการเกาะ (จับกุม) ได้ตัวนายริดกับบิดามารดานายริดกับผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คนมาแล้วบังคับนายริดส่งตัวข้าพระพุทธเจ้า นายริดก็ส่งตัวข้าพระพุทธเจ้าให้ตระลาการ นายริดกับบิดามารดานายริดแลผู้มีชื่อเถ้าแก่ ๒ คนก็เปนคู่สู้ความกับนายภู แต่ตัวข้าพระพุทธเจ้าได้ให้การไว้ต่อตระลาการเปนความสัตย์จริงข้าพระพุทธเจ้าหาได้เปนภรรยานายภูไม่แจ้งอยู่ในคำให้การนั้นแล้ว นายเปี่ยมกับพระทำมะรงคุมตัวข้าพระพุทธเจ้ากักขังไว้ที่ตะราง แล้วมารดาข้าพระพุทธเจ้าก็มาว่าขู่เข็ญ จะให้ข้าพระพุทธเจ้ายอมเปนภรรยานายภูให้จงได้ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอม ข้าพระพุทธเจ้าเตือนตระลาการให้ชำระความต่อไปก็ไม่ชำระให้ นายเปี่ยมกับพระทำมะรงก็คุมตัวข้าพระพุทธเจ้ากักขังไว้ แกล้งใช้การงานต่าง ๆ เหลือทนได้ความทุกข์ร้อนนัก ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้หนีมาทำฎีกาทูลเกล้าฯ ถวายพระราชอาญาเปนล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยอมเปนภรรยานายภู ข้าพระพุทธเจ้าสมัครเปนภรรยานายริด ชู้เดิมของข้าพระพุทธเจ้าต่อไป ขอพระบารมีปกเกล้าฯ เปนที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จมื่นราชามาตย์กับนายรอดมอญมหาดเล็กขึ้นไปการตัดสินให้อำแดงเหมือนหญิงผู้ร้องฎีกา ตกเป็นภรรยานายริดชายชู้เดิมตามสมัครใจ เนื่องจากฝ่ายหญิงมีอายุถึง ๒๑ ปี ครบบรรลุนิติภาวะแล้ว ควรจะมีสิทธิ์เลือกสามีตามใจชอบได้ และทรงพระอักษรสลักหลังฎีกาของอำแดงเหมือน ความตอนหนึ่งว่า
"...ความอายัดแลฟ้องเถ้าแก่ให้เลิกเสียให้หมด ตามลัทธิผู้ชายในบ้านเมืองทุกวันนี้ พอใจถือว่าหญิงคนใดชายได้พาเข้าไปในที่ลับจับต้องถึงตัวแล้ว ก็พอใจถือตัวว่าเปนเจ้าผัว ความก็อย่างนั้นผู้ตัดสินก็ว่าอย่างนั้น แล้วตัดสินให้ผัวเปนเจ้าของ แลให้เมียเปนดังสัตว์เดรัจฉาน เพราะลัทธิอย่างนั้นแลจึงได้ตัดสินในเวลาหนึ่ง #ขอให้เลิกกฎหมายเก่าแล้วแก้ว่าหญิงหย่าชายหย่าได้ ความเรื่องนี้ที่เปรียบเทียบว่าเปนเมีย แล้วว่าไม่ได้เปนเมียให้ยกเลิกเสียเอาแต่ตามใจหญิงที่สมัครไม่สมัครเปนประมาณ..."
อาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขได้เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
 
ขอขอบคุณภาพจากละครโทรทัศน์เรื่องอำแดงเหมือนกับนายริด ทางช่องไทยพีบีเอส ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕
และขอขอบคุณความบางตอนจากประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๐๕ - ๒๔๑๑ และหนังสือคนดีศรีแผ่นดิน (เล่มหนึ่ง) โดยคุณกิตติพงษ์ วิโรจน์ธรรมางกูร
โฆษณา