Blockdit Logo (Mobile)
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
8 มี.ค. 2020 เวลา 02:40 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา Deepwater Horizon แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิด ครั้งใหญ่สุดของโลก
การขุดเจาะสำรวจแหล่งพลังงาน เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และมีโอกาสผิดพลาดจนสร้างความเสียหายขั้นรุนแรงได้
และแท่นขุดเจาะน้ำมัน “Deepwater Horizon” ของบริษัท BP ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ที่เกิดระเบิดขึ้น และปล่อยน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเล
อะไรคือสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังหายนะในครั้งนี้
แล้วมันส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
BP เป็นบริษัทพลังงานแบบครบวงจร จากประเทศอังกฤษ
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1909 หรือ 111 ปีที่แล้ว
ปัจจุบันทำธุรกิจอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก
มีปริมาณพลังงานสำรอง เทียบเท่าน้ำมันดิบ 19,945 ล้านบาร์เรล
และมีกำลังผลิตพลังงาน เทียบเท่าน้ำมันดิบ 3.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ในปี 2019 บริษัทมีรายได้ 8,853,000 ล้านบาท และกำไร 128,000 ล้านบาท
ถือเป็นกลุ่มผู้นำของอุตสาหกรรมพลังงานโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงชื่อของ BP
สิ่งที่ผู้คนต่างจดจำ ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ทางธุรกิจ
แต่กลับเป็นเหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิด เมื่อปี 2010
ในขณะนั้น BP มีโครงการขุดเจาะแหล่งน้ำมันชื่อ Macondo ในบริเวณอ่าวเม็กซิโก
ซึ่งอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล 1,522 เมตร และหลุมน้ำมันก่อตัวลึกลงไปในชั้นหินอีก 5,486 เมตร
เพื่อที่จะผลิตน้ำมันจากแหล่งให้ได้
BP จึงต้องนำอุปกรณ์แท่นขุดเจาะที่มีประสิทธิภาพสูงชื่อว่า “Deepwater Horizon” มาใช้
Cr. Alabama Public Radio
แท่นนี้สามารถทำงานใต้ทะเลได้ 2,400 เมตร และมีกำลังขุดเจาะชั้นหินลึกถึง 9,100 เมตร
โดย BP จัดจ้างบริษัท Transocean ให้มาเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานครั้งนี้
ดูเหมือนว่า Deepwater Horizon น่าจะขุดน้ำมันจาก Macondo ได้อย่างสบายๆ
แต่ความเป็นจริง มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ในการสำรวจแหล่งพลังงาน ผู้ผลิตต้องค่อยๆ ทดสอบการขุดเจาะ เพื่อไม่ให้ชั้นหินเกิดรอยแตก
แต่เนื่องจาก Macondo เป็นหลุมลึก และขุดเจาะยาก
จึงทำให้แผนงานล่าช้ากว่ากำหนดถึง 5 เดือน
ซึ่งทุกนาทีที่เลื่อนออกไป ย่อมหมายถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายได้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่กำลังฟื้นตัวสูงขึ้น
กดดันให้ BP พยายามเร่งรัดการขุดเจาะ
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมองข้ามเกี่ยวกับความปลอดภัยไปหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณรอยรั่วในหลุม, ปัญหาแรงดันอากาศสูง, อุปกรณ์ขาดการบำรุงรักษา
1
รวมทั้งพนักงานบางราย ยังได้กรอกข้อมูลปลอม เพื่อให้ผ่านผลทดสอบการขุดเจาะอีกด้วย
จนกระทั่งในวันที่ 20 เมษายน ปี 2010
ก๊าซธรรมชาติที่ปะปนอยู่ในแหล่ง ได้ถูกแรงดันผลักขึ้นมาข้างบนแท่น ผ่านรอยรั่วตามชั้นหิน
และได้ทำปฏิกิริยากับอากาศ จนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
ในเวลานั้น มีพนักงานทำงานอยู่ 126 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือให้อพยพออกมาทัน
แต่ก็โชคร้ายที่มีผู้เสียชีวิตถึง 11 ราย
แม้สองวันถัดมา Deepwater Horizon จะจมลงสู่ท้องทะเล
แต่ปัญหาที่แท้จริง เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อแหล่ง Macondo เสียหายอย่างหนัก
น้ำมันดิบจึงทะลักออกมาภายนอก ในปริมาณสูงถึง 60,000 บาร์เรลต่อวัน
ซึ่งมันได้เกิดขึ้นยาวต่อเนื่อง 87 วัน
ส่งผลให้สุดท้าย มีน้ำมันรั่วไหลสู่ทะเลทั้งหมด 4,900,000 บาร์เรล
Cr. Inhabitat
ผู้ที่ได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศน์ของทะเลในอ่าวเม็กซิโก
เนื่องจากคราบน้ำมันได้กระจายไปยังพื้นที่กว้างถึง 176,100 ตารางกิโลเมตร
โดยมีการค้นพบว่า สัตว์น้ำจำนวนมากได้เสียชีวิตลงจากสาเหตุนี้ เช่น
นก 800,000 ตัว
เต่า 65,000 ตัว
ปลาวาฬและปลาโลมา 1,400 ตัว
ซึ่งอาจเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย เพราะเราคงไม่สามารถลงไปเก็บข้อมูลใต้ทะเลลึกได้
และแน่นอนว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อหายนะครั้งนี้ ก็คือบริษัท BP
ศาลสหรัฐฯ ได้ตัดสินให้บริษัทมีความผิด 14 คดี
และสั่งปรับเงินทันที 143,000 ล้านบาท รวมทั้งต้องชดเชยค่าใช้จ่ายกำจัดคราบน้ำมันในทะเลด้วย
ซึ่งช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าเสียหายทั้งหมดได้สะสมรวมกันไปแล้ว 2,067,000 ล้านบาท
มีมูลค่ามากกว่ากำไรของ BP ในปีล่าสุดถึง 16 เท่า
เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์โด่งดัง จนถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Deepwater Horizon
โดยเข้าฉายเมื่อปี 2016 และทำรายได้ไป 3,900 ล้านบาท
Cr. Forbes
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
2
Deepwater Horizon อาจเป็น “อุบัติเหตุ” น้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้น้ำมันรั่วไหลมากที่สุด เกิดมาจากความ “จงใจ”
ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน ปี 1991
กองทัพอิรักต้องถอยออกจากประเทศคูเวต หลังจากพ่ายแพ้สงครามอ่าวเปอร์เซีย
พวกเขาจึงเปิดวาล์วแท่นขุดเจาะ เพื่อเผาน้ำมันให้เป็นเปลวเพลิง ขวางไม่ให้ทหารสหรัฐฯ เข้าใกล้
ทำให้มีน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลบริเวณดังกล่าว 5,700,000 บาร์เรล..
โฆษณา