7 มี.ค. 2020 เวลา 04:09
วิปัสสนาญาณ & หลักธรรมที่แท้จริง (สำคัญมากโปรดอ่าน)
2
บทความเรื่องนี้ผมยกให้เป็นบทความที่สำคัญที่สุดของ page นี้ตั้งแต่เปิดมา (ใช้เวลาเขียนกว่า 2 ชั่วโมง) ยอมรับว่ายาวมาก แต่ไม่อยากให้พลาด สิ่งที่หลายท่านไม่เคยรู้จะถูกรวบยอดและเปิดเผยออกมาในบทความนี้
ว่ายทวนน้ำ : ฉันมีคำถามมาถามคุณ มีสำนักหนึ่งสอนว่าพระพุทธเจ้านั่งสมาธิจนสำเร็จฌาน 8 แต่ไม่บรรลุธรรม หลังจากนั้นพระองค์จึงใช้วิธี "เดินปัญญา" พระองค์จึงตรัสรู้ ขอถามว่าสำนักนี้พูดถูกต้องหรือไม่ (ถูกครับ) โนว จริง ๆ แล้วผิด
ผม : ผิดตรงไหนครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : พระพุทธเจ้าไม่ได้เดินปัญญาแล้วบรรลุธรรม ไม่ได้ใช้วิธีการพิจารณาต่าง ๆ แล้วทำให้บรรลุธรรม แต่เป็นเรื่องของการ "ถึงเวลา" ที่ท่านต้องบรรลุ พระองค์ถึงเวลาที่จะต้องโพล่ง มันมีเวลาลงล็อกในการที่จิตกลับเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันอยู่โดยที่เราไม่จำต้องทำอะไรกับมันเลย
1
ผม : แล้วทุกวันนี้ที่มีการฝึกฝนให้เรานั่งสมาธิตามรู้ลมหายใจ ให้เราเดินจงกรม ให้เราดูจิต ให้เราขยับมือ 14 จังหวะ ฯลฯ นั้นเพื่ออะไรครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : การปฏิบัติทั้งหมดล้วนมาจากตัณหาหรือความอยาก คนอยากบรรลุธรรมจึงพยายามสรรหาประดิษฐ์คิดค้นวิธีการต่าง ๆ นานาขึ้นมาเพื่อสนองความอยากบรรลุธรรมนั้น โดยเขาเข้าใจว่านั่นเป็นทาง แต่จริง ๆ วิธีการทั้งหมดที่เขาคิดค้นขึ้นมันมาจากความคิดของเขาเอง คือเขา "คิด" อยากบรรลุธรรม เขาจึง "คิด" วิธีทำให้ตัวเองบรรลุธรรม อันนี้เรียกว่า "คิดซ้อนคิด" เป็นการพยายามใช้ความคิดดับความคิดซึ่งผิด เขาพยายามเรียกสิ่งนั้นว่าการฝึกสติ แต่ยิ่งใช้ความคิด ยิ่งใช้การพิจารณา ยิ่งใช้การปฏิบัติด้วยวิธีต่าง ๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งออกจากความว่างเท่านั้น เพราะการใช้ความคิด ใช้การพิจารณา ใช้การปฏิบัติต่าง ๆ นั้นล้วนมาจากความอยากของเราเอง
1
ผม : ทำไมพระพุทธเจ้าอยู่ดี ๆ จึงถึงเวลาของท่านได้ครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : การถึงเวลานั้นเป็นเรื่องของ "วิปัสสนาญาณ" ซึ่งมันจะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติของมัน มันมีเวลาของมันอยู่ เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว ตอนนั้นเองที่เราจะเป็นเพียงแค่ผู้ดูมันเกิดขึ้นเท่านั้น
ฉันจะเล่าประสบการณ์ของฉันให้ฟัง ตอนพรรษาแรกฉันไม่รู้ทางเพราะฉันไม่มีครูบาอาจารย์ ฉันนั่งสมาธิเดินจงกรมแบบที่พระป่าทำกันหนักมากจนหลับในหัวชนเสา ตัวร้อนแดงไปหมด แต่อยู่ดี ๆ ปรากฏภาพของหลวงปู่มั่นนั่งลอยมาบอกว่า "ไอ้ที่ทำอยู่น่ะผิด" แล้วก็หายตัวไปแถมไม่ยอมบอกด้วยว่าแล้วทำยังไงถึงจะถูก? ไอ้เราก็งงว่าอ้าวท่านก็ทำแบบนี้มาก่อนไม่ใช่หรือไง? พอพรรษาสองฉันไปอยู่วัดหินหมากเป้ง หลวงปู่เทสก์เพิ่งสียไปได้ประมาณปีกว่า คืนหนึ่งหลวงปู่เทสก์มาปรากฏสอนในนิมิตว่า "ทุกอย่างเป็นแค่ธาตุ เราดำริขึ้นมาเอง" แล้วก็หายไป แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจวิธีการว่าแล้วจะให้ทำยังไงต่อ ? เหมือนท่านมาทิ้งปริศนาไว้แค่นั้น
1
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันไม่มีการนั่งสมาธิเดินจงกรมอีก แต่ใช้ชีวิตแบบละโลภ โกรธ หลง มักน้อยสันโดษไปเรื่อย ๆ จนมาถึงพรรษาสามตอนนั้นฉันอยู่วัดป่าแห่งหนึ่งไม่ใช่วัดดัง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังดื่มน้ำปานะวิปัสสนาญาณมันก็เกิดขึ้นมาเอง ตอนนั้นที่น้ำตาไหลพรากและก้มลงกราบพื้นด้วยความสำนึกในคุณของพระพุทธองค์อย่างที่สุดว่า "นี่หรือสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบแล้วนำมาสอน" มันอัศจรรย์มาก ๆ
วิปัสสนาญาณมันเกิดของมันเอง ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันได้แต่ดูมันเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องการถึงเวลา เหมือนมะม่วงพอมันสุกแล้วมันหล่นลงพื้นเอง ฉันไม่ได้นั่งสมาธิไม่ได้เล่นฌานมาปีกว่าตั้งแต่หลวงปู่เทสก์มาปรากฏในนิมิต แต่ฉันมีนิสัยมักน้อยสันโดษ ละโลภ โกรธ หลง ไม่สร้างกรรมใหม่เพิ่มทั้งดีและชั่วไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลามันโพล่งของมันเอง นี่ประสบการณ์ของฉัน
1
ฉันถึงเข้าใจพระอานนท์ที่พยายามทำความเพียรเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุธรรม แต่พอเลิกทำความเพียรพอจะนอนกลับบรรลุธรรม นั่นเป็นเวลาที่ล็อกมาแล้วของพระอานนท์ว่าวิปัสสนาญาณของท่านจะต้องเกิดช่วงนั้น คนเราถ้าถึงเวลาวิปัสสนาญาณจะเกิดนะต่อให้ฉันตดให้ดมไอ้คนนั้นก็โพล่ง ไม่เกี่ยวกับว่าคุณต้องมานั่งฟังฉันสอนธรรม พระพุทธองค์ยังบอกพระอานนท์ว่าไม่ต้องเสียใจว่าไม่บรรลุธรรมตอนที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ เพราะหลังจากพระพุทธองค์สิ้นไปแล้ว 3 เดือน ตอนนั้นจะเป็นเวลาของเธออานนท์ และวิปัสสนาของพระอานนท์ก็เกิดขึ้นหลังจากพระองค์สิ้นไป 3 เดือน นี่คือวิบากกรรมของพระอานนท์ที่ถูกล็อกมาแบบนี้ พระพุทธองค์เห็นวิบากในการบรรลุของพระอานนท์แล้วจึงได้ทำนายไว้ให้พระอานนท์สบายใจ
ผม : หลังจากอาจารย์โพล่งแล้วอาจารย์ได้รู้ได้เข้าใจอะไรบ้างครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : ไม่รู้อะไรเลยเพราะมันไม่มีอะไรให้รู้ มันว่างเปล่าบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ฉันได้มาหลังจากการโพล่งคือฉันมีความสามารถในการอธิบายธรรมขั้นสูงให้เข้าใจง่ายได้ ก่อนโพล่งพูดอธิบายอะไรไม่เป็น แต่พอหลังโพล่งเทคนิคการอธิบาย การยกตัวอย่าง การเปรียบเทียบมันออกมาเอง ความเข้าใจการเชื่อมโยงคำสอนที่เป็นภาษามันออกมาเอง ฉันก็งงว่ามันมาได้ยังไง มีอริยะหลายรูปที่เก่งเรื่องรู้วาระจิตแต่ไม่ชำนาญในเรื่องของการแสดงธรรม พระอรหันต์นั้นจะเข้าถึงความว่างเหมือนกัน แต่ความสามารถหลังจากที่โพล่งแล้วจะต่างกัน เป็นเรื่องของวาสนาเก่าของใครของมันที่ใครจะเคยทำสะสมมาในด้านไหน อย่างหลวงตามหาบัว หลวงปู่ชา ท่านพุทธทาส ก็บริวารเยอะ เป็นของเก่าท่าน หลวงตามหาบัวมีคนเอาทรัพย์สินมาให้เยอะอีกต่างหากเพราะในอดีตท่านช่วยคนมาเยอะมาก ท่านบำเพ็ญมาทางโพธิสัตว์
ผม : พระที่รู้วาระจิตผู้อื่น มองดูอดีตของผู้อื่นได้ มองดูได้ว่าใครมีจริตอย่างไร เป็นอรหันต์เสมอไปไหมครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : ความสามารถเหล่านี้เป็นเรื่องของฌานเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ ไม่เกี่ยวกับการพ้นทุกข์ของพุทธศาสนา พวกฤาษีหลายคนก็สามารถทำได้ พระพุทธเจ้าเคยไปหลงฝึกมากับอาฬารดาบสและอุทกดาบส พระอริยะบางรูปจะเก่งด้านฌาน แต่ก็มีพระอริยะบางรูปที่ไม่เล่นฌานเลย เช่น อาจารย์สิงห์ทอง แต่ท่านมีบุญเก่าทางภาวนา
อย่างไรก็ตาม ฉันยอมรับว่าการมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นเป็นเครดิตในการสอนธรรมพอสมควร คือถ้าคุณไม่มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์คุณจะเป็นคนที่ไม่น่าสนใจ มันจะไม่มีอะไรดึงดูด แต่สิ่งที่ต้องระวังคือคนที่มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นเป็นเพียงแค่ฤาษีในคราบพระ หรือเป็นพระอรหันต์ที่เก่งด้านฌาน ตรงนี้ถ้าคุณภูมิธรรมไม่ถึงคุณจะดูไม่ออก คุณก็จะไปเลือกศึกษาธรรมกับคนนู้นคนนี้ตามกิเลสของคุณ ตามที่คุณถูกใจและคุณเห็นว่าถูกนั่นแหละ แต่ตรงนี้เป็นเรื่องของบริวารใครบริวารมัน ถ้าคุณเจอของจริงก็เป็นบุญของคุณไป
ผม : ในอดีตอาจารย์เป็นอะไรมาก่อนครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : ฉันเคยเกิดเป็นพระเซ็นที่ประเทศจีน แต่ในชาตินั้นฉันไม่บรรลุธรรมเพราะมัวแต่ติดเมตตารวมทั้งติดอธิษฐานเก่าที่ขอสะสมบารมีเพื่อเกิดเป็นโพธิสัตว์ แต่จริง ๆ แล้วฉัน "สะสมความว่าง" จากในอดีตมาเยอะพอดูเหมือนกัน ท่านพุทธทาสในอดีตก็เป็นพระเซ็นเกิดที่จีนและญี่ปุ่น เป็นอาจารย์เซ็นใหญ่ด้วย แต่ท่านไม่สามารถจบในชาตินั้นได้ ชาตินี้ที่ท่านเลยเกิดเป็นพุทธทาสต้องมาต่อเอาจนจบ
ผม : อาจารย์ช่วยอธิบายธรรมะขั้นสูงให้ผมฟังง่าย ๆ หน่อยได้ไหมครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : หลักธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มี การปฏิบัติทุกอย่างไม่มี แต่ที่พวกคุณพูด ๆ พล่าม ๆ กันอยู่ ทำ ๆ ฝึก ๆ กันอยู่นั้นเป็นเพียงความฟุ้งซ่านทางความคิดที่หลอกให้คุณวุ่นวายหาทางพ้นทุกข์หรือบรรลุธรรมเท่านั้นอง มันคือตัณหาหรือความอยากที่หลอกให้คุณวุ่นวายหาทางพ้นทุกข์ นิกายเซ็นจึงสอนว่า "ไม่มีอะไรต้องปฏิบัติ ไม่มีอะไรต้องบรรลุ" แล้วก็สอน "ให้อยู่เฉย ๆ" การอยู่เฉย ๆ นั้นคือการไม่สนองความคิดที่ให้ไปทำดีทำชั่ว ไม่ทำทั้งบุญและบาป นั่นคือการไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มทั้งขั้วบวกและขั้วลบ
หลักการของนิกายเซ็นแบบที่ตั๊กม้อ เว่ยหล่าง ฮวงโป สอนนั้น คือหลักที่ตรงที่สุด ลัดสั้นที่สุด และตรงกับหลักของพระพุทธองค์ที่สุด ส่วนพระป่าไทยจะสอนติดสมถะเยอะมาก คือคนศึกษาพระป่าไทยมาเยอะจะเจอแต่คำสอนให้พุทโธๆๆ ให้นั่งสมาธิ ให้เดินจงกรม ให้พิจารณากาย พอเขามาฟังหลักการของเซ็นเขาจะไม่รู้เรื่อง ที่พระป่านั่งสมาธิต่าง ๆ นานานั้นเป็นการปฏิบัติ แต่นิกายเซ็นสอนให้ไม่ต้องปฏิบัติ มันสวนทางกันเลย
ผม : แต่อาจารย์ก็บวชธรรมยุติกนิกาย (พระสายป่า) มาร่วม 20 ปีแล้ว พูดแบบนี้พวกพระป่ารูปอื่นไม่แย่หรือครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : การบรรลุธรรมไม่เกี่ยวกับว่าคุณบวชนิกายไหน แต่ขึ้นอยู่กับคุณมักน้อยสันโดษ ละโลภ โกรธ หลง ได้มากแค่ไหน อย่าเข้าใจว่าพระป่าจะบรรลุธรรมเยอะนะ ส่วนใหญ่หลงสมถะ หลงฌานด้วยซ้ำ พระป่าหลายรูปที่มีชื่อเสียงไม่ได้บรรลุธรรม แต่ฉันพูดอะไรไม่ได้เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าฉันอิจฉาไปดิสเครดิตท่าน ฉันจึงเลือกอยู่สงบ ๆ แบบไม่ต้องเปิดเผยตัวให้คนรู้จักไปแบบนี้ ใครมีกรรมก็รับธรรมที่ฉันสอนได้ ใครมีกรรมต้องเจอฉันยังไงก็ได้เจอ แต่ถ้าไม่มีกรรมยังไงก็ไม่ได้เจอ มันเป็นเรื่องของบริวารใครบริวารมัน
ผม : แล้วที่อาจารย์สอนให้ฝึกไม่ยุ่ง ไม่สนใจกับสิ่งต่าง ๆ นั้น แบบนี้ถือว่าเป็นการสอนให้ปฏิบัติหรือเปล่าครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : เป็นการปฏิบัติที่ไม่ต้องปฏิบัติ เช่น สมมติว่ามีคนมาด่าคุณ ทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปัดลงอดีต ไม่โทษเขา แต่โทษกรรมที่ตัวเองเคยสร้างมา แบบนี้ถือว่าคุณรักษาความปกติของจิตไว้ได้ คือคุณชดใช้วิบากกรรมเก่าอย่างเดียว แต่จะไม่เอาคืนเขา เพราะถ้าคุณสวนเขา เอาคืนเขา แก้แค้นเขา ฟ้องร้องเขา นั่นจะเป็นการคุณสร้างกรรมใหม่เพิ่มที่วันหน้าคุณจะต้องได้รับอีก หลักในการภาวนาของนิกายเซ็นที่ตั๊กม้อจึงสอนว่า "ปล่อยชีวิตไปตามลิขิตกรรม" และ "ชดใช้อกุศลกรรมเก่า" ก็คือแบบนี้ ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องโต้ตอบ แต่ให้เราอยู่กับธรรม (หรือความว่าง) คือจิตที่ปกติเสียให้หมดกับทุกเรื่อง
ผม : ผมเห็นอาจารย์ป่วยด้วยอาการต่าง ๆ มาตลอด รวมทั้งอุบัติเหตุตกเขาตอนพรรษาสามหลังจากที่โพล่งแล้ว นี่คืออกุศลกรรมเก่าของอาจารย์ที่ต้องชดใช้ ?
ว่ายทวนน้ำ : ถูกต้อง โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีคุณทำอะไรคุณต้องรับทั้งดีและชั่ว สาเหตุที่พระอริยะต้องรับกรรมทางกายหนักมากนั้นเพราะว่ามันไม่มีอบายภูมิและสุขคติภูมิให้ท่านไปเกิดที่นั่นแล้ว วิบากกรรมทั้งดีและชั่วที่ทำมาจากอดีตจะถูกบีบใช้ในภพมนุษย์ที่เป็นชาติสุดท้ายจนหมด ท่านจะเจ็บตัวหนักมาก เช่น เกิดอุบัติเหตุหรือเป็นโรคร้าย นั่นคืออกุศลกรรมเก่า แต่วิบากที่เป็นความดีก็จะมาเช่นกัน เช่น ได้รับทรัพย์สินเยอะ มีบริวารเยอะ เจ็บป่วยก็จะมีคนช่วยพาไปรักษาธาตุขันธ์ เป็นต้น บอกตามตรงว่าหลังจากฉันโพล่งแล้วฉันไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรอก เพราะมันทรมานธาตุขันธ์จากอกุศลกรรมเก่าเยอะมาก แต่ถ้าไม่หมดวิบากเก่าวิญญาณจะออกจากร่างไม่ได้ฉันเคยลองแล้ว ต้องอยู่ชดใช้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดวิบาก ดังนั้น การที่คุณด่าเขา นินทาเขา ทำร้ายเขา เบียดเบียนเขา พิมพ์ด่าเขาทางอินเตอร์เนตนั้นไม่มีอะไรฟรีบอกไว้เลย คุณจะต้องได้รับคืนในอนาคต และถ้าคุณไม่สามารถปิดอบายภูมิ (โสดาบัน) ได้ก่อนตาย อบายภูมิยังรอคุณอยู่เสมอ ซึ่งการใช้กรรมในอบายภูมินั้นทรมานกว่าการใช้กรรมในภพมนุษย์เยอะมาก ใช้กรรมในภพมนุษย์จะเบากว่ามาก
ผม : การโพล่งเกี่ยวข้องกับวิบากกรรมเก่าด้วยหรือไม่ครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : เป็นแบบนั้น จริง ๆ แล้วการบรรลุธรรมเกี่ยวข้องกับ "ของเก่า" ที่เคยทำมาจากอดีตมาก ฉันเรียกว่าเป็น "บุญเก่าทางภาวนา" ฉันใช้ภาษาสไตล์ฉันว่ามันเพาะบ่มพุทธะจิตโดยการ "การสะสมความว่าง" นั่นคือให้คุณละโลภ โกรธ หลง เลิกงมงาย กลัวบาปให้มาก มักน้อยสันโดษให้มากที่สุด ไม่ยุ่ง ไม่สนใจกับสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของตนองให้มากที่สุด นั่นคือการเพาะบ่มพุทธะจิตที่จะรอวันผลิบาน (วิปัสสนาญาณ) แต่การที่คุณไปช่วยเหลือผู้อื่น อันนั้นไม่ใช่การสะสมความว่างแต่เป็นการสะสมความดีในแนวของโพธิสัตว์ ซึ่งคุณจะได้รับวิบากที่จะอยู่สบาย ไม่ต้องดิ้นรนมาก มีคนมาช่วยเหลือเสมอ แต่ถ้าคุณไปเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ วิบากที่คุณจะได้รับจะมาในรูปของอุบัติเหตุ เป็นโรคร้ายต่าง ๆ ถูกด่า ถูกนินทา ถูกวิจารณ์ในทางเสีย ๆ หาย ๆ ถูกคนอื่นคิดหรือมองในทางไม่ดี เป็นต้น
ถ้ากรรมเก่าไม่มากมันจะโพล่งได้เร็วอันนี้เกี่ยวข้องกัน เพราะบีบใช้ไม่นานก็หมด แต่ถ้าคุณกรรมเก่าเยอะไม่สามารถบีบใช้กรรมได้ทันในภพนี้ได้คุณก็จะไม่สามารถโพล่งขั้นสุดในชาตินี้ได้ทัน ต้องมาเกิดเพื่อชดใช้ส่วนที่ยังไม่หมดอีก
ผม : การภาวนานั้นต้องไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มทั้งดีและชั่วด้วยหรือครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : ถูกต้อง เพราะทั้งการทำบุญและทำบาป ทำดีทำชั่ว ล้วนเป็นการสร้างเหตุที่ทำให้คุณต้องเกิดมารับผลนั้นอีก คนที่ปารถนาโพธิสัตว์หรือเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตถึงต้องเกิดแล้วเกิดอีกเพื่อสะสมบารมีจนเต็ม แต่ในทางนิกายเซ็นจึงสอนให้มีชีวิตอยู่แบบมักน้อยสันโดษ คือไม่แสวงหาสิ่งใดเกินจำเป็นแก่การดำรงชีวิตปกติ มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เพื่อชดใช้กรรมเก่าอย่างเดียว กรรมใหม่อย่าสร้าง สะสมความว่างไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลาวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นของมันเอง
การให้อยู่แบบสะสมความว่าง ให้คุณไม่ยุ่ง ไม่สนใจกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพื่อให้คุณ "ยุติการก่อกรรม" เพราะทุกการกระทำเป็นกรรมหมด กรรมเก่าชดใช้มากเท่าไหร่ กรรมใหม่สร้างน้อยเท่าไหร่ มันก็ย่นระยะเวลาการเกิดลงมาเรื่อย ๆ วิบากที่จะพาไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ก็จะถูกบีบใช้ในภพนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ การที่สอนให้คุณละโลภ โกรธ หลง ก็เพื่อให้คุณหยุดการก่อกรรม
ผม : ในกรณีขององคุลีมาลที่ฆ่าคน 999 คนก่อนมาเจอพระพุทธเจ้า ดูแล้วการฆ่าคน 999 คนเป็นการส้รางกรรมใหม่ที่เยอะเอาเรื่องนะครับ ?
ว่ายทวนน้ำ : เรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าปัดให้เป็นเรื่องของ "อจิณไตย" คือไม่สามารถอธิบายได้ แม้กระทั่งพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ทางฌานก็ไม่ใช่ว่ารู้วาระกรรมได้ทั้งหมดนะ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้หมด ในส่วนกรณีที่องคุลีมาลต้องมาฆ่าคน 999 คนนั้น เป็นวิบากที่ถูก fix มาแต่เกิดแล้วที่ต้องกลับมาชดใช้กันในชาตินี้ ในอดีตคน 999 คนนั้นเคยทำองคุลีมาลมาก่อน ดังนั้น ที่องคุลีมาลทำไปนั้นเป็นเรื่องการชดใช้วิบากเก่าที่มีร่วมกันมาและก็เป็นการสร้างของใหม่ไปด้วยในเวลาเดียวพร้อม แต่องคุลีมาลพอบวชแล้วเวลาไปบิณฑบาตก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวหนักมากกลับมาทุกวันนะเพราะถูกคนทำร้าย นั่นก็คือวิบากที่ท่านถูกบีบให้ชดใช้จากการสร้างกรรม
ผม : ก่อนที่ผมจะเอาเรื่องนี้มาเผยแผ่ต่อ ขออาจารย์ช่วยสรุปให้ฟังอีกสักครั้ง
ว่ายทวนน้ำ : จริง ๆ แล้วคุณเอาเรื่องนี้ลงคนจะรับไม่ได้นะ เพราะมันจะขัดกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียนรู้มา (ไม่เป็นไรครับ ผมต้องการเขียนเรื่องนี้)
งั้นสรุปให้ฟังง่าย ๆ ใบไม้กำมือเดียวคือพระพุทธศาสนานั้นคือ "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเราคิด ถ้าเราไม่คิดทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มี" การไปแสวงหาอ่านหนังสือธรรมะของคนนั้นคนนี้ ฟังซีดีคนนั้นคนนี้ การปฏิบัติธรรมวิธีนั้นวิธีนี้ ล้วนมาจากความฟุ้งซ่าน มาจากตัณหาหรือความอยากของคนนั้นเองทั้งสิ้น มันไม่มีวิธีปฏิบัติอะไรเลยที่ทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมาได้ แต่มันจะเกิดของมันเองเมื่อถึงเวลา ให้คุณใช้หลัก 4 ประการที่ตั๊กม้อสอนไว้ ซึ่งทั้ง 4 ข้อนั้นไม่มีตรงไหนเลยที่บอกให้ไปอ่านหนังสือหรือฟังธรรมะของคนนั้นคนนี้ หรือให้ไปปฏิบัติวิธีนั้นวิธีนี้
แต่วิธีการดังกล่าวมันคือการใช้ชีวิตอยู่อย่างมักน้อยสันโดษ สะสมความว่างไปเรื่อย ๆ ไม่ก่อกรรมเพิ่มทั้งดีและชั่ว และชดใช้วิบากเก่าไปเรื่อย ๆ นี่แหละคือการ "ไม่มีอะไรต้องปฏิบัติ และไม่มีอะไรต้องบรรลุ"
คนที่จะรับคำสอนตรงนี้ได้ ต้องมีบุญเก่าพอสมควร เพราะคนส่วนใหญ่จะถูกวิบากกรรมจากการเคยทำให้ผู้อื่นหลงทาง เช่น เผยแผ่คำสอนที่ผิด ไปสอนให้คนหลงรูปปั้นรูปเหมือน หลงกราบไหว้บูชาสิ่งต่าง ๆ หลงงมงายต่าง ๆ วิบากกรรมตัวนั้นจะบังเอาไว้ให้ไม่สามารถรับคำสอนนี้ได้ ฮวงโปจึงบอกว่าคำสอนของนิกายเซ็น "เป็นคำสอนที่รับเอาได้ยาก" เพราะคำสอนนี้ตรงและลัดสั้นที่สุดแล้วในการนำไปสู่วิปัสสนาญาณ และเป็นพุทธแท้เป็นการอยู่แบบพระในสมัยพุทธกาล อันนี้ไม่ได้เชียร์เซ็นนะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
โฆษณา