Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บทเรียนจากเชื้อโรค
•
ติดตาม
8 มี.ค. 2020 เวลา 20:33 • สุขภาพ
หน้ากากผ้า ใช้ได้มั้ย
ในสถานการณ์ที่ COVID-19 กำลังลูกผีลูกคนอยู่นี้ และหน้ากากมีไม่พอใช้ จนคนต้องหันไปใช้หน้ากากผ้าแทน ก็ดันมีเสียงคัดค้านดังขึ้นเต็มไปหมด
องค์การอนามัยโลก ประกาศเมื่อ 29 มกราคม 2563 ว่า
"Cloth (e.g. cotton or gauze) masks are not recommended under any circumstance."
(หน้ากากผ้าไม่แนะนำให้ใช้ในทุกกรณี)
สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ให้คำแนะนำเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 ว่า
"หน้ากากผ้า ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้"
สมาคมอุรเวชช์ (ปอด/ทรวงอก) แห่งประเทศไทย ให้คำแนะนำเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563 ว่า
"หน้ากากผ้าที่ผลิตใช้เองในขณะนี้ น่าจะยังไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันการรับเชื้อโควิด ยกเว้นป้องกันสารคัดหลั่งที่มีขนาดใหญ่ ส่วนคุณสมบัติในการป้องกันการแพร่เชื้ออาจทำได้บ้าง แต่ไม่ทราบประสิทธิภาพที่แน่นอน การเลือกใช้หน้ากากผ้าจึงต้องใช้วิจารณญาณโดยรอบคอบ"
แล้วเราจะเอายังไงดี
ของแบบนี้ต้องตัดสินกันด้วยงานวิจัย
โชคร้ายคือตั้งแต่ปี 1897 ที่มีหลักฐานการใช้หน้ากากในงานผ่าตัด จนถึงปัจจุบัน มีงานวิจัยเกี่ยวกับหน้ากากผ้าที่ เป็นการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial) ขนาดใหญ่เพียงการศึกษาเดียว ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าเป็นรูปแบบงานวิจัยที่ดีที่สุดสำหรับงานวิจัยทางคลินิก
นั่นคือ งานวิจัยที่เวียดนาม ทำในปี 2011 (C Raina MacIntyre et al.) แต่ตีพิมพ์วารสาร BMJ ปี 2015 (ทิ้งช่วงหลายปี ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร)
การศึกษาทำในบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล 1607 คน ในหอผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง จากโรงพยาบาล 14 แห่ง ในฮานอย
โดยการสุ่มหอผู้ป่วยแบ่งบุคลากรออกเป็น 3 กลุ่ม
1. ใช้ หน้ากากผ้า (cloth mask) อันที่ใช้จริงไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง ไม่ได้ให้รูปมาในงานวิจัย
หน้ากากผ้า ที่มา: https://m.qoo10.com/item/WHOLESALE-ADULT-FACE-MASK-CLOTH-1-PIECE-X-6-REUSABLE/617716897?__ar=Y
2. ใช้ surgical mask (หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้ง ตามโรงพยาบาล บางคนเรียก medical mask)
Surgical mask ที่มา: https://www.amazon.com/Disposable-Surgical-Breathable-Antiviral-Sanitary/dp/B0856SM5SP
3. กลุ่มควบคุม (control) ไม่บังคับการใช้หน้ากาก
โดยติดตาม 1 เดือน ดูอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจในบุคลากร
ผลปรากฏว่า อัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจเรียงจากน้อยไปหามากดังนี้
surgical mask < control < cloth mask
การใช้หน้ากากผ้าติดเชื้อมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม!
แต่เดี๋ยวก่อน เผอิญว่ากลุ่มควบคุม ดันใช้ทั้ง surgical mask และ หน้ากากผ้า หรือทั้ง 2 อย่างในอัตราที่สูงมาก
เนื่องจากการบังคับให้กลุ่มควบคุมห้ามใช้หน้ากากปกป้องตัวเองเป็นการผิดจริยธรรม การศึกษานี้จึงให้กลุ่มควบคุม เป็นกลุ่มที่ปล่อยอิสระ จะใส่ไม่ใส่ยังไงก็ได้ เอาตามถนัด แต่สุดท้าย แทบทุกคนใช้หน้ากากกันเองหมด
ดังนั้นจึงสรุปได้เพียงว่า surgical mask ดีกว่า หน้ากากผ้า
แต่บอกไม่ได้ว่า surgical mask ดีกว่าไม่ใส่เลยจริงมั้ย (อันนี้การศึกษาอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะออกมาทำนองว่าดีกว่าจริง)
และบอกไม่ได้ว่า หน้ากากผ้าแย่หรือดีกว่าไม่ใส่เลยหรือเปล่า
การศึกษานี้ ทำในหอผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง คือบุคลากรทำงานมีโอกาสสัมผัสโรคติดเชื้อทางเดินหายใจสูงในช่วงเวลาการทำงานต่อวันที่ยาวนาน
คำแนะนำจึงชัดเจนว่าห้ามใช้หน้ากากผ้าสำหรับบุคลากรโรงพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อ ต้องใช้อย่างน้อย surgical mask (หรือไม่ก็ N95 ไปเลย)
แต่ในชุมชนทั่วไป โอกาสสัมผัสเชื้อมีน้อยในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่คนมาอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น ในลิฟต์ ต่อแถวรอจับมือ ฯลฯ หน้ากากผ้าแม้ไม่น่าจะสู้ surgical mask ได้ แต่จะดีกว่าไม่ใส่อะไรเลยหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ
การศึกษาในระดับชุมชนทำได้ยาก เพราะผู้คนกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมกลุ่มเหมือนบุคลากรโรงพยาบาล ทำให้ติดตามยาก (ยกเว้นพวกนักเรียน จะตามง่ายหน่อย) อีกทั้งโอกาสสัมผัสเชื้อน้อย โอกาสเกิดโรคก็น้อย ถ้าจะทำการศึกษาต้องใช้จำนวนอาสาสมัครเยอะมาก อาจเป็นหลักหมื่นถึงแสนคน
ผู้ใช้หน้ากากผ้าในการศึกษานี้ก็ต้องใช้ซ้ำวนไปมาโดยรับผิดชอบซักกันเองด้วยสบู่และน้ำ แต่ไม่มีการนึ่งฆ่าเชื้อ ซึ่งอาจไม่สะอาดพอ หรืออาจติดเชื้อกันตอนซักก็ยังได้ เพราะหน้ากากที่ใช้ในโรงพยาบาลอาจมีเชื้อโรคมาเกาะติดในปริมาณสูง หรืออ่างล้างถ้ามันสกปรกหรือปนเปื้อนเวลาล้างก็มีการกระเซ็นของน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อได้
ถ้าอย่างโรงพยาบาลในไทยสมัยก่อน หน้ากากผ้าเราจะโยนลงถัง แล้วมีเจ้าหน้าที่มาเก็บไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ไม่ได้มานั่งซักกันเอง
ส่วนถ้าเป็นในชุมชน โอกาสที่หน้ากากจะมีเชื้อติดมาเยอะ และมีอันตรายตอนเอาไปซัก ก็คงน้อยกว่าในโรงพยาบาลมาก
ซ้ำร้ายประสิทธิภาพของหน้ากากผ้าซึ่งทำจากผ้าฝ้าย 2 ชั้น ในการศึกษานี้ เรียกได้ว่าแย่อย่างไม่น่าเชื่อ จากการทดสอบความสามารถในการกรองตามวิดีโอข้างล่างพบว่าหน้ากากผ้าที่ใช้ในการศึกษากรองละอองขนาดจิ๋ว (เช่น 0.3 microns) ได้แค่ 3% ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านการประเมินของคณะกรรมการจริยธรรมได้ยังไง
youtube.com
Your Next Solution to Filter Testing
TSI’s Automated Filter Tester 8130A is the industry’s best solution for testing particulate respirator filters, disposable filtering face pieces, and a wide ...
แต่ในอีกแง่ก็เป็นการบอกว่า หน้ากากผ้าที่เรานิยมใช้กันมายาวนาน อาจจะกากสมชื่อ
สมมุติว่าถ้ามีละอองที่มีไวรัสปนอยู่ซัก 1,000 ตัวกระจายอยู่อย่างสม่ำเสมอ ลอยมาปะทะ หน้ากากผ้านี่จะกันได้ แค่ 30 ตัว อีก 970 ตัวจะแทรกผ่านได้สบาย นี่ยังไม่นับที่รั่วเข้าทางข้างหน้ากากอีกเต็มไปหมด
ส่วน surgical mask ในการศึกษานี้ก็กรองได้แค่ 56% ซึ่งค่อนข้างต่ำ ปัจจุบันวัสดุที่ใช้ในหลายยี่ห้อจะกรองได้ถึง 95% (แต่ไม่นับเป็น N95 respirator เพราะ surgical mask ไม่ได้แนบติดใบหน้า ทำให้ลมรั่วเข้าข้างหน้ากาก อากาศไม่ได้ผ่านการกรองที่หน้ากากทั้งหมด ดังนั้นเวลาใช้จริงการกรองจะลงไปต่ำกว่า 95% มาก เช่น อาจเหลือเพียง 40% ขึ้นกับว่ารั่วมากหรือน้อย)
แต่การจะบอกว่ากรองได้ไม่เยอะแล้วไม่มีประโยชน์เลยก็อาจจะไม่จริงซะทีเดียว
เรารู้ว่าปริมาณเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย (inoculum size) จะสัมพันธ์กับการแสดงออกของโรค โดยไล่จากเชื้อเริ่มต้นน้อยไปมาก ดังนี้
ไม่ติดเชื้อ
ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ
ติดเชื้อมีอาการเล็กน้อย
ติดเชื้ออาการรุนแรง
ติดเชื้อและเสียชีวิต
โดยปริมาณเชื้อเริ่มต้นที่มากพอที่จะทำให้เราติดเขื้อเรียกว่า infectious dose (ID) ส่วนปริมาณเขื้อที่มากพอจะทำให้เราตายเรียกว่า lethal dose (LD) ซึ่งมักจะสูงกว่า infectious dose พอสมควร
แน่นอนว่ามีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้องนอกเหนือไปจากปริมาณเชื้อตั้งต้นที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเรา เช่น ลักษณะพันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน ยาประจำ อายุ เพศ โรคประจำตัว การรักษาพยาบาล เป็นต้น
แต่ถ้ากำหนดให้ปัจจัยอย่างอื่นเหมือนกันเป๊ะ ๆ แบบในหนูทดลอง ชะตากรรมของคุณจะถูกกำหนดด้วยปริมาณเชื้อตั้งต้นที่เข้าสู่ร่างกาย
สำหรับเชื้อโควิท ผมยังไม่เห็นรายงานค่า ID หรือ LD ทั้งในคนและสัตว์ทดลอง ดังนั้นเราลองมาสมมุติกันเล่น ๆ
ปริมาณเชื้อที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อ คือ หายใจเอาไวรัสเข้าไป 10,000 ตัวภายในเวลา 1 ชม.
20,000 ตัวทำให้เริ่มมีอาการ
50,000 ตัวทำให้มีอาการรุนแรง
100,000 ตัวทำให้เสียชีวิต
ถ้าหน้ากากเรากรองได้จริงซัก 30% มีเชื้อที่ลอยติดมากับละอองฝอยขนาดจิ๋วมาเข้าจมูก/ปาก 120,000 ตัวใน 1 ชั่วโมง ก็จะถูกกรองเหลือ 84,000 ตัว ในทางทฤษฎี คุณอาจจะป่วยรุนแรง แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสรอดชีวิตได้
หรือถ้าคุณใช้ N95 respirator กันได้ 95% เชื้อจะเหลือเพียง 6,000 ตัว คุณก็จะไม่ติดเชื้อเลย แต่ปัญหาหลักคือใส่นาน ๆ ไม่ไหว หายใจไม่ออก และอาจรั่วได้ ถ้าเลือกขนาดผิดหรือไม่ได้รับการฝึกฝนในการใส่ให้กระชับ
แม้แต่การล้างมือที่มีประสิทธิภาพมาก ก็ใช่ว่าจะกำจัดเชื้อได้หมด แต่มันช่วยลดปริมาณเชื้อให้ต่ำกว่าที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
surgical mask ถูกออกแบบมาให้ป้องกันการแพร่เชื้อมากกว่าที่จะป้องกันการติดเชื้อ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเอาไว้ให้หมอผ่าตัดใส่เพื่อป้องกันแผลผ่าตัดติดเชื้อ
ยังไม่ได้มีหลักฐานว่ามันป้องกันการติดเชื้อโรคได้จริงในระดับชุมชนนอกโรงพยาบาล (absence of evidence) จึงเป็นที่มาว่าจริง ๆ แล้ว ไม่ได้แนะนำให้ใส่ในคนทั่วไป
แต่บางแหล่งข่าวไปไกลถึงว่าใส่หน้ากากแล้วอาจเพิ่มการติดโรค เพราะอาจเพิ่มการเอามือมาสัมผัสใบหน้า ตามลิงค์ข้างล่างที่มีการแปลและแชร์อยู่พอสมควรเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการให้ความเห็นเฉย ๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
forbes.com
No, You Do Not Need Face Masks To Prevent Coronavirus—They Might Increase Your Infection Risk
It sounds mundane, but washing your hands frequently and not touching your face goes a lot further to protect you than wearing a mask.
ซึ่งบทความมีความย้อนแย้งกันเอง เช่น ไม่แนะนำให้ใส่ เพราะไม่มีหลักฐานว่าป้องกันโรคได้ แต่ตอนบอกว่าอาจเพิ่มการติดเชื้อจากการสัมผัสใบหน้าเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรสนับสนุน ซึ่งถ้าการใส่หน้ากากแย่เช่นนั้นจริง บุคลากรทางการแพทย์จะใส่มันทำไม
แน่นอนว่าหลักฐานที่จะบอกว่าเขาพูดผิดก็ไม่มีเช่นกัน แต่โดยปกติผู้ที่กล่าวอ้าง (claim) อะไรก็ตาม ควรจะเป็นผู้หาหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยัน (burden of proof) คำกล่าวอ้างของตน
หรืออีกประเด็นที่ชอบมีคนพูดถึงกัน คือเชื้อมันสามารถมาเกาะติดอยู่บนหน้ากาก (มีข้อมูลพบเชื้อต่าง ๆ บนหน้ากากได้จริง) พอเราเอามือไปจับหน้ากาก มือเราปนเปื้อน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขี้นได้
มันคงมีโอกาสติดเชื้อได้ แต่ทำไมมันถึงจะ "เพิ่มขึ้น" เพราะเชื้อที่เกาะอยู่บนหน้ากาก ก็คือเชื้อที่จะปะทะจมูกหรือปากของเราโดยตรงหากไม่มีหน้ากากกันไว้ และต่อให้หน้ากากชื้นยังไง ไวรัสไม่ได้เพิ่มจำนวนบนหน้ากากได้ มีแต่จะลดลงไปตามเวลา ดังนั้นการเอามือไปจับด้านนอกของหน้ากากเป็นความเสี่ยงก็จริง อาจเพิ่มการติดเชื้อหากเทียบกับคนที่ไม่จับหน้ากาก แต่คงไม่ถึงกับติดเชื้อมากกว่าคนที่ไม่ใส่หน้ากาก
กลับมาที่เรื่อง "ไม่มีหลักฐาน"
Absence of evidence is not evidence of absence.
ไม่มีหลักฐานว่าป้องกันโรคได้ แปลว่ายังอาจป้องกันได้แค่ยังไม่พบหลักฐาน (เพราะไม่มีคนลงทุนทำการศึกษา) จึงยัง "ไม่ส่งเสริมให้ใช้" แต่จะใช้ก็ไม่ได้ว่าผิดอะไรมาก ตราบใดที่มันไม่ได้ก่ออันตรายอะไรอย่างอื่น
ซึ่งต่างกับมีหลักฐานว่าป้องกันโรคไม่ได้ อันนี้ แปลว่า "ไม่ควรใช้" เพราะไม่มีประโยชน์แน่ ๆ ใครใช้ก็เป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
แย่สุด คือ มีหลักฐานว่าทำให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น อันนี้จะกลายเป็นว่า "ห้ามใช้" เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น
เมื่อไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าหน้ากากทั้งหลายกันโรคได้ในคนทั่วไป แล้วจะยังไงดี
ก็ต้องวิเคราะห์กันจากหลักฐานและข้อมูลแวดล้อม
การศึกษาในบุคลากรโรงพยาบาลส่วนใหญ่ (ไม่ทั้งหมด) จะให้ผลว่า surgical mask ป้องกันได้ดีกว่าไม่ใส่อะไรเลย
ถ้าคนทั่วไปก็จัดว่าเป็นมนุษย์เหมือนบุคลากรในโรงพยาบาล ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษหายใจทางผิวหนังได้ ขอให้ใส่หน้ากากให้ถูกวิธี ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่การอยู่นอกโรงพยาบาลที่มีโอกาสเจอผู้ติดเชื้อน้อยกว่า จะป้องกันไม่ได้เลย (ขนาดเชื้อเยอะ ๆ ในโรงพยาบาลยังกันได้บ้างเลย!)
ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ความคุ้มค่าและความจำเป็นมากกว่า
ถ้าเราสมมุติว่าสำหรับบุคลากรในโรงพยาบาล 50 คน ถ้าเราให้ใส่ surgical mask ทุกวัน ไปหนึ่งเดือน จะป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ 1 คน
คนทั่วไป โอกาสเจอเชื้อต่ำกว่า ความคุ้มค่าก็น้อยกว่า เช่น อาจต้องให้ใส่ surgical mask ไปถึง 1,000 คน ตลอดหนึ่งเดือน ถึงจะป้องกันได้ 1 คน
ถ้าเป็นหน้ากากผ้าที่การกรองเชื้อยิ่งต่ำเข้าไปอีก เอาไปใช้ในชุมชน อาจต้องใส่หลายหมื่นคน ถึงจะป้องกันได้คนนึง
ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขสมมุติ ตราบใดที่ยังไม่มีตัวเลขจริงสนับสนุนชัดเจนว่าคุ้มค่า ก็เป็นการยากที่ในระดับนโยบายหรือหน่วยงาน จะออกมาสนับสนุนด้วยความมั่นใจให้คนไทยทั่วไปทุกคนใส่หน้ากากกันหมด ทุกครั้งที่ออกไปพบปะผู้คน
แต่ในระดับปัจเจกบุคคล (individual) ถ้าคุณหาหน้ากากมาได้โดยไม่เบียดเบียนใคร ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แม้ความคุ้มค่าจำเป็นจะน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เปรียบเทียบได้กับ วัคซีนโรคไข้กาฬหลังแอ่น (meningococal vaccine) เนื่องจากโรคนี้เจอได้น้อยมากในประเทศไทย แถมสายพันธุ์ในวัคซีนก็ไม่ค่อยตรงกับตัวที่พบในไทย ในระดับนโยบาย จึงไม่จัดเป็นวัคซีนที่จำเป็นต้องฉีด (ไม่ฟรี) เพราะไม่มีความคุ้มค่าเลย
แต่ถ้าคุณมีเงินและอยากซื้อวัคซีนมาฉีดตัวเอง ก็ไม่มีใครว่าอะไร ตราบใดที่วัคซีนไม่ขาดแคลน มีเหลือพอหลังจากเอาไปใช้ในกลุ่มเสี่ยงที่มีความจำเป็น (เช่น ต้องเดินทางไปประเทศที่มีโรคนี้ชุกชุม หรือ โดนตัดม้าม) แม้โอกาสจะน้อยมาก แต่คุณอาจแจ็คพ็อตไปเจอคนไข้ที่มีเชื้อนี้แล้ววัคซีนช่วยให้คุณรอดก็เป็นได้
กลับมาที่เรื่องหน้ากากผ้า
ปัญหาหลักของหน้ากากผ้า คือความไร้มาตรฐาน อาจจะมีผ้าบางแบบที่กันได้ดีแต่ไม่มีการทดสอบก็ไม่มีทางรู้ว่ากรองได้เท่าไหร่กันแน่ จึงเป็นอุปสรรคที่ผู้บริโภคยากจะเลือกได้ บางคนก็บอกว่าให้ลองหยดน้ำดู พวกที่กรองละเอียดหน่อยน้ำจะซึมผ่านยาก จะเห็นเป็นหยดกลิ้งไปมา (แต่ต้องแน่ใจว่าอากาศผ่านได้ดีพอ ไม่ใช่ว่าต้านอากาศสุดขีดไปด้วย) ซึ่งส่วนใหญ่หน้ากากผ้าทั่วไปหยดปุ๊บก็ซึมทะลุปั๊บ
วิธีเพิ่มความสามารถในการกรอง ก็เช่น ทอให้มันถี่ขึ้นแบบพวกผ้าปูกันไรฝุ่น ซ้อนผ้าหลายชั้น ใช้ผ้าหนาขึ้น ฯลฯ แต่อย่าลืมว่า การต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัญหาตามมาอีก
ในอุดมคติเราคงอยากได้หน้ากากที่ต้านอากาศน้อย ๆ จะได้หายใจสบาย แต่กรองฝุ่นละอองเชื้อได้ดี ซึ่งทำยากเพราะกรองละเอียดมาก อากาศก็ผ่านยากตาม จึงต้องหาจุดสมดุลที่พอดี
ถ้าตัวหน้ากากต้านอากาศมาก แล้วหน้ากากนั้นไม่ได้แนบสนิทกับใบหน้าแบบ N95 respirator อากาศก็จะหนีเข้าทางด้านที่แรงต้านน้อยกว่า นั่นก็คือรั่วมาทางด้านบน ด้านล่าง ด้านข้างของหน้ากาก ทำให้ไม่มีการกรองเกิดขึ้น
เช่น เราเอาขันพลาสติกมาทำหน้ากาก ทั้งละออง ทั้งอากาศผ่านไม่ได้ 100% มันก็รั่วเข้าข้าง ๆ 100% ไม่มีการกรองเกิดขึ้น ถ้าอุดรูรั่วหมด คนใส่ก็ขาดอากาศตาย
การตรวจความสามารถในการกรองของตัววัสดุอาจยังไม่เพียงพอ ยังต้องดูการต้านอากาศอีกด้วย
1
ถ้าจะทดสอบให้ดีหน่อย ก็ทำจำลองสถานการณ์ (simulation) ในหุ่นจำลองศีรษะมนุษย์ (manikin) ซึ่งมีปั้มป์ลมเข้าออกรูจมูก/ปาก เหมือนการหายใจในคนจริง ๆ แล้วครอบหน้ากากที่จะทดสอบ
พ่นละอองฝอยเลียนแบบการไอจามใส่ แล้วตรวจดูว่ามีละอองพวกนั้นรั่วผ่านเข้ามาในหุ่นจำลองมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับการไม่ใส่ ก็จะพอบอกประสิทธิภาพโดยรวมที่แท้จริงได้ เพราะจะรวมเอาทั้งละอองที่ทะลุตัวหน้ากากมาได้ และละอองที่ลอดผ่านช่องข้างหน้ากากที่ไม่แนบสนิทด้วย
พวก surgical mask หรือ หน้ากากผ้าที่เอามาทดสอบ ค่าการกรองที่ได้ก็ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นกับว่ามันรั่วเข้าด้านข้างมากน้อยเพียงใด และรูปแบบการทดสอบที่ใช้
ถ้าตามการศึกษาในรูปข้างล่างของ Larry E. Bowen (2010) ประสิทธิภาพในการกรองละอองจิ๋วอยู่ที่ 33.3% สำหรับ surgical mask, 11.3% สำหรับ dust mask (pre-shaped face mask), 6.1% สำหรับ ผ้าโพก (bandana) ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับหน้ากากผ้า, และ 89.6% สำหรับ N95
ที่มา: Applied Biosafety Vol. 15, No. 2, 2010
คิดคร่าว ๆ ถ้าเอาหน้ากากผ้าที่กรองได้ต่ำสุด (6.1%) เป็นตัวเทียบ surgical mask จะกรองได้ดีกว่าคิดเป็น 5 เท่า, dust mask 2 เท่า, N95 15 เท่า
Dust mask ที่เป็นกระเปาะแข็ง ๆ ตามการศึกษานี้ก็สู้ surgical mask ไม่ได้
แน่นอนว่ามีพวกหน้ากากผ้าแพง ๆ ที่มีเทคโนโลยีสูง มีการรับรองคุณภาพ สามารถซักได้หลายครั้งโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ แต่ถ้ามันแพงอย่างนั้น ก็ไปใช้ surgical mask จะดีกว่ามั้ย
โดยสรุป surgical mask ควรเก็บไว้ให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ในโรงพยาบาลก่อน ถ้ามีเหลือจะเอาไปใช้กับคนทั่วไปในชุมชนก็น่าจะได้ประโยชน์อยู่บ้าง แต่อาจไม่ค่อยคุ้มค่า
ส่วนหน้ากากผ้าที่ใช้กันทั่วไปประสิทธิภาพการกรองต่ำมาก แต่ก็อาจจะพอเอามาแก้ขัด (ได้ผลจริงเปล่าไม่รู้) ในคนทั่วไปได้ ในกรณีที่ขาดแคลน surgical mask จะได้ไม่ไปแย่งบุคลากรโรงพยาบาลที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องเลือกใช้ หน้ากากผ้าที่มีการรับรองประสิทธิภาพ
แม้จะไม่มีการศึกษา แต่ประโยชน์ที่พอคาดเดาได้ อาจจะเป็นในแง่ลดการล้วงจมูก หรือกัดเล็บโดยไม่ตั้งใจได้ แลกกับการที่อาจจะจับใบหน้าเพิ่มขึ้น
แม้จะกันพวกละอองขนาดเล็กได้น้อยมาก แต่ก็น่าจะพอกันพวกละอองขนาดใหญ่ยักษ์หรือเรียกว่าเป็นหยดเลยดีกว่า เช่น จากการไอ จาม ใส่หน้าในระยะเผาขน ซึ่งคนที่มีลูกเล็ก ๆ คงเคยโดนกันประจำ แบบว่าหน้าเหนียวหนึบกันเลยทีเดียว พวกละอองเล็ก ๆ ก็คงทะลุหน้ากากผ้าไป แต่พวกละอองยักษ์ ก็คงกันได้บ้าง
1
เนื่องจากเราพบตัวรับ (receptor) ACE2 ที่เชื้อโควิดใช้ในการบุกเข้าเซลล์ ในช่องปากด้วย พวกละอองใหญ่ ๆ ที่เข้าได้ไม่ลึกก็อาจติดอยู่ในปากก่อปัญหาได้เหมือนกัน
(นอกเรื่อง เขาว่า ACE2 มันเจอที่ลิ้นเยอะ เราอาจต้องรณรงค์งด French kiss นะ)
ผมเคยอุ้มลูกที่น้ำมูกเยิ้มนิด ๆ ด้วยความน่ารักน่าชัง ก็อดไม่ได้ที่จะไปหอมแก้ม ลูกผมก็หันขวับมาพอดี จมูกชนจมูก สูดเอาน้ำมูกของลูกเข้าจมูกตัวเองแบบเต็ม ๆ วันรุ่งขึ้นก็ป่วยไปตามระเบียบ ถ้าตอนนั้นใส่หน้ากากผ้าก็อาจช่วยกันได้ แต่จริง ๆ เราคงไม่ไปหอมใครทั้ง ๆ ที่ใส่หน้ากากอยู่หรอก
โดนลูกไอกรอกปากตรง ๆ ก็เคยมาแล้ว
อีกอย่างถ้าเราติดเชื้อแล้วแต่ยังไม่มีอาการ การใส่หน้ากากผ้าก็น่าจะช่วยลดการแพร่เชื้อได้ แม้จะไม่ดีเท่า surgical mask ก็ตาม เหมือนเราเอาสเปรย์มาฉีดละอองฝอย จะเอาผ้าอะไรก็ได้มาขวางตรงหน้าสเปรย์ การกรองจะแย่แค่ไหนก็ตาม ยังไงจำนวนและความแรงของละอองที่พุ่งทะลุออกไปก็ต้องลดลงบ้าง นอกจากนี้เวลาใส่หน้ากาก หายใจลำบาก ก็จะลดการพูดพล่ามไปในตัว โอกาสปล่อยละอองฝอยแพร่เชื้อก็น้อยลง
ประโยชน์ในแง่นี้อาจเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน จนกว่าเราจะเข้าระยะสามที่มีผู้ติดเชื้อที่ยังไม่มีอาการจำนวนมาก แต่ถ้ามองในแง่ช่วยป้องกันไวรัสหรือเชื้ออื่น ๆ นอกจากโควิด ที่บางตัวก็เริ่มแพร่ได้ตั้งแต่ก่อนมีอาการเหมือนกัน ก็อาจจะดูคุ้มค่ามากขึ้น
ที่เหลือน่าจะเป็นผลของการใส่หน้ากากที่ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพใด ๆ เช่น เวลาเราใส่หน้ากาก จะไม่ค่อยอยากเข้าไปใกล้ใคร เพราะอึดอัดรำคาญ ในขณะที่คนอื่นก็ไม่ค่อยมาใกล้เรา เพราะกลัวว่าเราจะป่วยหรือเปล่า และเราจะพยายามรีบออกจากบริเวณที่มีความเสี่ยงไปยังที่โล่ง จะได้ถอดหน้ากาก สูดหายใจได้เต็มที่ (จากประสบการณ์ตัวเอง ไม่รู้ท่านอื่นเห็นด้วยมั้ย)
หากมีเฉพาะผู้ป่วยที่ใส่หน้ากากเหมือนในกลุ่มประเทศยุโรปหรืออเมริกา ในขณะที่คนปกติดีไม่ใส่ หน้ากากจะเป็นเหมือนตราบาป (stigma) ประกาศให้โลกเข้าใจว่าผู้ใส่ป่วย เกิดการรังเกียจ ไปจนถึงขั้นทำร้ายกัน ดังข่าวฝรั่งทำร้ายคนเอเชียที่ใส่หน้ากากแม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาจะไม่ป่วยเลยก็ตาม นั่นพลอยทำให้ผู้ที่ป่วยจริงก็ไม่กล้าใส่หน้ากากไปด้วย ทำให้ออกมาแพร่เชื้อได้
ถ้าทุกคนใส่กันหมด ย่อมไม่เกิดปัญหาเรื่องตราบาปหรือการรังเกียจกัน คนป่วยก็จะยินดีที่จะใส่มากขึ้น
หน้ากากยังอาจช่วยเตือนใจเหมือนเป็นเครื่องราง ให้เราระมัดระวังสุขอนามัย ล้างมือบ่อยขึ้นก็เป็นไปได้ เหมือนปลอกคอแบบนิ่ม (soft collar) ที่จริง ๆ แล้ว ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะพยุงคอ แต่พอใส่แล้วมันค้ำคออยู่ คนไข้ก็จะระมัดระวังคอตัวเองมากขึ้น ทำให้มันได้ผลในการรักษา แม้คุณสมบัติในตัวมันเองจะไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
2
Soft collar ที่มา: https://www.amazon.com/ProCare-Universal-Clinic-Cervical-Collar/dp/B00N3IR9QY
ที่สำคัญคือต้องรู้ว่า หน้ากากทั้ง surgical mask และหน้ากากผ้า ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก จึงไม่ควรย่ามใจ (false sense of protection) ไปในที่เสี่ยง คนแออัด โดยไม่จำเป็น แม้จะใส่หน้ากากอยู่ก็ตาม
อ่านจนจบแล้ว จงใช้หลักกาลามสูตร พิจารณาเองว่าเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน และจะเลือกปฏิบัติตัวอย่างไร เนื่องจากมีส่วนที่เป็นความเห็นส่วนตัวจำนวนมาก (คำว่า "อาจ" "คง" หรือ "น่าจะ" มีเยอะมากในบทความนี้) หลักฐานจริง ๆ เรายังมีน้อยมาก
Reference:
https://bmjopen.bmj.com/content/5/4/e006577.full#ref-24
https://journals.sagepub.com/doi/pdf/10.1177/153567601001500204
https://www.nature.com/articles/s41368-020-0074-x
18 บันทึก
109
33
30
18
109
33
30
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย