8 มี.ค. 2020 เวลา 07:30 • กีฬา
เส้นทางราชามวยกรงคนใหม่ : อิสราเอล อเดซานย่า ... 'ทิ้ง ประดู่พริ้ว' แห่ง ไนจีเรีย
อิสราเอล อเดซานย่า เป็นนักสู้แชมป์ UFC รุ่นมิดเดิ้ลเวตในเวลานี้ เขาใช้ทักษะมวยไทยผสมผสานการศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นๆ เป็นฐานแห่งความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามแม้จะมีศิลปะการสู้ที่เหมือนกับนักชกคนอื่นๆ แต่ด้วยวิธีการแล้ว อเดซานย่า นั้นแตกต่าง ... เข้าต่อสู้เหมือนกับคิวบู๊หนังเรื่องหนึ่ง ที่นอกจากจะมีประสิทธิภาพแล้วยังต้องดูสวยงามและมีความเอ็นเตอร์เทนไปในตัวด้วย
และสไตล์ดังกล่าวเขาได้มาจาก "ทิ้ง ประดู่พริ้ว" พระเอกจากภาพยนตร์เรื่อง "องค์บาก" ที่แสดงโดย จา พนม หรือ โทนี่ จา ... อะไรทำให้เด็กชาวไนจีเรียเอาศาสตร์จากการแสดงมาใส่กับการต่อสู้บนเวทีกันแน่?
ติดตามได้ที่นี่
ล้มผู้ยิ่งใหญ่
MMA หรือ ศิลปะการต่อสู้แบบผสม นี่คือเวทีที่เปิดกว้างเพื่อให้นักสู้แต่ละคนได้โชว์ศิลปะการต่อสู้ที่ตัวเองถนัดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ จะหมัด เข่า ศอก หรือแม้แต่จับกดจับทุ่มก็สามารถทำได้ทั้งนั้น นั่นจึงทำให้กีฬาต่อสู้ชนิดนี้เป็นกีฬาที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง
ด้วยความรุนแรงและหนักหน่วงในการออกอาวุธแต่ละครั้ง อาจจะทำให้นักกีฬาบางคนบาดเจ็บพักเป็นปีๆ หรือบางรายเลิกเล่นไปเลยก็มี
อย่างไรก็ตามมี "GOAT" หรือที่แปลว่า "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ของ MMA ที่สามารถยืนระยะได้ยาวนานหลายปี ขึ้นสังเวียนมาแล้วหลายครั้งเอาชนะได้หลายรูปแบบ คนๆ นั้นคือ แอนเดอร์สัน ซิลวา ผู้ที่เคยได้รับยกย่องจาก UFC หรือ Ultimate Fighting Championship องค์กร MMA เบอร์ 1 ของโลก ว่าเป็นหนึ่งในนักสู้ที่ดีที่สุดของ UFC เท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว
ตัวของ ซิลวา นั้นเป็นนักสู้ที่ใช้ศิลปะมวยไทยผนวกเข้ากับบราซิลยิวยิตสู ถ้าให้ยืนชกก็ไวปราดเปรียว ถ้าให้นอนชกก็ทำได้ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบในการเป็นยอดนักสู้แบบครบเซ็ตทั้งแม่นยำ รุนแรง ฉลาด และ รวดเร็ว จนทำให้ในวันที่ ซิลวา พีกที่สุดก็ยากที่ใครจะเอาเขาลงได้
ซิลวา ไล่ปราบศาสตร์การต่อสู้อื่นๆ มามากมาย ไม่ว่าจะ แซมโบ้ มวยปล้ำ คาราเต้ ก็เสร็จมาแล้วทั้งนั้น ... จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เจอนักสู้สายยืนเหมือนกันและมีต้นทางจากศาสตร์ของมวยไทยเหมือนกัน นั่นคือ "อิสราเอล อเดซานย่า" นักสู้สายเลือดไนจีเรีย-นิวซีแลนด์
ศึก UFC 234 คู่ระหว่าง ซิลวา ปะทะกับ อเดซานย่า กลายเป็นมวยคู่เอก มันเป็นเหมือนศึกที่ส่งไม้ต่อความยิ่งใหญ่จากรุ่นสู่รุ่น ...
แม้จะเก่งกาจแค่ไหนแต่ในไฟต์ดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ซิลวา ก็อายุ 44 ปีแล้ว เขาต้องยอมรับว่าสังขารนั้นส่งผลกับการต่อสู้โดยตรง ขณะที่ อเดซานย่า อายุ 29 ปีและเป็นนักสู้หน้าใหม่ที่เข้ามาเจอของจริงในเวทีเบอร์ 1 อย่าง UFC เพียง 1 ปีเท่านั้น
อเดซานย่า เป็นมวยที่ผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่า มวยไทย คือหนึ่งในอาวุธหลักของเขาด้วย การสู้ในไฟต์นั้น อเดซานย่า สามารถชนะได้โดยเอกฉันท์ เขาเหนือกว่าทุกอย่าง และเรื่องนี้ ซิลวา เองก็ยอมรับแต่โดยดี
หลังจากที่กรรมยกมือของ อเดซานย่า เป็นผู้ชนะ นักสู้ทั้งสองคนคุกเข่าลงกับพื้นและแสดงสัญลักษณ์ถึงการคารวะในฝีมือของกันและกัน ฝ่ายของ ซิลวา แยกย้ายไปให้สัมภาษณ์และพูดถึงความยอดเยี่ยมของ อเดซานย่า เขาเน้นย้ำว่านี่คือนักสู้ที่จะครองความยิ่งใหญ่ในวงการ MMA คนต่อไป
ภาษากายของนักสู้ถูกถ่ายทอดออกมาเหมือนศิษย์กับอาจารย์ อย่างไรก็ตามสำหรับ อิสราเอล อเดซานย่า อาจารย์ของเขาไม่ใช่ แอนเดอร์สัน ซิลวา ... เขาบอกว่า โทนี่ จา หรือ จา พนม นักแสดงหนังแอ็คชั่นจากประเทศไทยต่างหากที่เขานับถือให้เป็นอาจารย์อย่างแท้จริง แม้ว่าในความจริงแล้ว จา พนม จะไม่เคยขึ้นชกหรือลงแข่งกีฬาต่อสู้อาชีพเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ตาม
องค์บากจุดประกาย
อเดซานย่า เป็นชาว ไนจีเรีย โดยกำเนิด มีพี่น้อง 5 คน ทว่าครอบครัวของเขาไม่ได้ยากจนเหมือนกับนักสู้หรือนักกีฬาแอฟริกันคนอื่นๆ ครอบครัวอเดซานย่ามีฐานะดี พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจ แม่ของเขาเป็นนางพยาบาล ชีวิตของเขาไม่ได้ลำบากอะไรเลย อยากได้อะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็กิน นั่นคือชีวิตที่แอฟริกันชนทุกคนใฝ่ฝัน
อย่างไรก็ตามมันน่าตลกดีที่มนุษย์เรานั้นไม่เคยเพียงพอต่อสิ่งที่ต้องการ คนจนก็อยากรวย ส่วนคนรวยอย่าง อิสราเอล กลับอยากที่จะเป็นนักมวย ซึ่งเป็นกีฬาที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นทางเลือกของคนที่ไม่ค่อยมีฐานะและต้องการสร้างชื่อเสียงจากการใช้ร่างกายและความเจ็บปวดเข้าแลก
"ผมน่ะเคยฝึก เทควันโด้ ตอนเด็กๆ เหมือนกัน แต่สุดท้ายแม่ผมก็ให้ผมเลิกเรียน ผมเล่นอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่" อเดซานย่า กล่าว
"คือเอาจริงๆ ในฐานะเด็กที่ไม่เคยได้รับการชื่นชมเลย และทุกอย่างที่อยากจะทำก็ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน มันอาจะเป็นเพราะบ้านเราไม่ต้องดิ้นรนอะไรด้วยแหละมันถึงเป็นแบบนั้น ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่ของผมรู้สึก"
อเดซานย่า เป็นเหมือนลูกที่แตกต่างจากลูกคนอื่นๆ เพราะพี่น้องของเขาล้วนแต่มีอาชีพและการงานที่ดีจากการตั้งใจเรียนหนังสือทั้งสิ้น แต่เขาไม่เลย ... เขาแอบสู้ และหวังว่าสักวันโอกาสโบยบินของตัวเองจะมาถึง
จนกระทั่งปี 2001 ครอบครัวของเขาตัดสินใจย้ายไปทำงานและตั้งรกรากในต่างประเทศ เพราะพ่อของเขาเชื่อมั่นว่า การศึกษาของบ้านหลังใหม่จะดีกว่าที่ ไนจีเรีย แน่นอน และนั่นจะทำให้อนาคตของลูกๆ เขาดีกว่าที่ตัวเองเป็นอีกด้วย ... เดิมที สหรัฐอเมริกา คือจุดหมายปลายทาง แต่เหตุวินาศกรรม 9/11 ทำให้ความคิดของพ่อเปลี่ยนไป
"เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 คือเรื่องใหญ่ของอเมริกา พ่อผมเชื่อว่าอเมริกากำลังจะอยู่ในภาวะสงครามหลังจากนั้น และเขาคิดถูก"
ที่สุดแล้ว ปลายทางของครอบครัวอเดซานย่าเปลี่ยนไป พวกเขาเลือกตั้งรกรากในประเทศนิวซีแลนด์ ... แม้จุดหมายเปลี่ยนแต่เรื่องราวนั้นเป็นไปอย่างที่คิด อเดซานย่า ถูกส่งไปเรียนหนังสือและเป็นเหมือนการบังคับให้ลืมความฝันการเป็นนักสู้แบบกลายๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2008 มีภาพยนตร์จากประเทศไทยเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า "องค์บาก" สร้างชื่อไปทั่วโลก และทุกอย่างก็เปลี่ยน
อเดซานย่า ได้นั่งดูทุกวินาทีของหนังองค์บากภาคแรก เขาเห็นทุกลีลาการต่อสู้ของ "ทิ้ง" พระเอกของเรื่องที่ใช้ศิลปะมวยไทยหมัด เข่า ศอก รวมถึงการหักกระดูก และการกระโดดเข้าชนทุกคนในเรื่องอย่างไม่กลัวตาย เท่านั้นตาเด็กน้อยก็เป็นประกาย
"ผมนี่เแบบ ... โว้ยย ไอ้หมอนี่มันสุดยอดจริง โทนี่ จา ทำได้ทุกอย่างและทำมันอย่างบ้าคลั่ง ผมลุกปรบมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าและบอกว่า นี่แหละ ข้าจะเป็นสู้แบบนี้ให้ได้เลย" อเดซานย่า ย้อนเล่าความ
ชีวิตพระเอก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ อเดซานย่า อินมากๆ ก็คือตอนนั้นที่ นิวซีแลนด์ เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองเป็นคนแอฟริกันมันทำให้เขาถูกมองว่าเป็น "สิ่งแปลกปลอม" เขาจึงฝังใจและต้องการทำอะไรให้สมกับที่คนอื่นมอง นั่นคือขอทำอะไรที่แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ ไปซะเลย
เขาเหมือนกับ ทิ้ง ประดู่พริ้ว พระเอกของเรื่องที่มาจากต่างจังหวัด จะใช้คำว่า "บ้านนอก" เพื่อทำให้ดูเห็นภาพก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งจำเป็นต้องเข้าไปในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ทุกคนมองเขาเป็นของแปลก หัวเราะเยาะ และพร้อมจะรังแก แต่สุดท้ายอะไรล่ะที่ทำให้ ทิ้ง ประดู่พริ้ว ไม่เคยพลาดท่า ... แน่นอนมันคือศิลปะการต่อสู้ ซึ่งตัวของ อเดซานย่า เองก็เช่นกัน
"ผมต้องเรียนรู้การต่อสู้เพราะ เด็กที่นั่นไม่ค่อยชอบหน้าผมนัก" อเดซานย่า เล่าย้อนความ "ผมอยู่ไนจีเรีย จิตใจผมสงบ สุขสบายมีความมั่นใจมาก ทุกคนต่างมีสุนทรีย์ในชีวิต"
"แม้ว่าตัวของผมนั้นไม่อยากจะสู้กับใคร แต่เมื่อมีคนพยายามที่จะเล่นงานผม ผมจำเป็นต้องทำให้สถานการณ์ที่แตกต่าง ... อย่าให้กูเป็นนักสู้นะโว้ย เดี๋ยวพวกเอ็งโดนแน่" เขาเล่าถึงวัยเด็กอย่างออกรส
ในขณะที่ ทิ้ง ประดู่พริ้ว ใช้การต่อสู้แบบเลี่ยงไม่ได้ แม้ไม่อยากจะปะทะก็ต้องทำ เพราะการไล่ตาม "องค์บาก" หรือเศียรพระพุทธรูปพระจำหมู่บ้าน อิสราเอล อเดซานย่า ก็คล้ายๆ กัน เขาไม่ได้อยากจะทำร้ายใคร หรือเป็นขบถสังคมมากมายนัก เพียงแต่ว่าสถานการณ์และเรื่องความแตกต่างของสีผิวที่เจอ มันบังคับให้เขาต้องสู้
"ที่นิวซีแลนด์ ผมเป็นพวกต่อต้านนะ หากเด็กคนอื่นๆ ทำอะไรผมจะส่ายหน้าและบอกว่า "ไม่เอา" ผมจะต้องแตกต่าง ใครจะมองยังไงผมไม่สนใจหรอก นั่นทำให้ผมได้เริ่มติดตามการต่อสู้มากกว่าเรื่องเรียน และมันทำให้ผมพบโค้ชคนแรก"
ยูจีน แบร์แมน คือโค้ชต่อสู้คนแรกของ อเดซานย่า และมันช่างบังเอิญที่ ยูจีน เป็นนักสู้ในศาสตร์ของ "คิกบ็อกซิ่ง" ที่มีความคล้ายกับมวยไทยมาก มันโดนใจ อเดซานย่า เพราะหลากหลายท่าทางลีลาทั้งการเตะสูงเตะต่ำหรือกระโดดเตะมันเป็นอะไรที่เหมือนกับที่ โทนี่ จา ไอดอลของเขาทำในหนังเรื่ององค์บากไม่มีผิด
มวยไทยเป็นจุดเริ่มต้นของ อเดซานย่า เขาพัฒนาขึ้นมากด้วยการเข้าโรงยิมของ เดเร็ก โบรห์ตัน เพื่อหวังว่าจะใช้ทักษะมวยไทยพาตัวเองเข้าไปสู่การต่อสู้แบบมวยกรงให้ได้ แม้จะโดนห้ามจากครูฝึกแต่เขาก็ไม่สน ... เหมือนกับพระเอกเรื่ององค์บากไม่มีผิด ที่ใช้ทักษะการต่อสู้แบบมวยไทยพิชิตศัตรูทั้งหลายตลอดทั้งเรื่อง
1
อิทธิพลของ โทนี่ จา ที่มีต่อ อเดซานย่า คือการสู้ที่พลิ้วไหวเหมือนกับการเต้น จุดเด่นของความพลิ้วไหวคือการกะจังหวะให้ลงตัวเพอร์เฟ็กต์และจบลงด้วยการซัดให้เข้าเป้า นอกจากนี้ยังใช้การหลบหลีกมากกว่าการเข้าปะทะโดยตรงด้วย
"มิยาโมโต้ มุซาชิ (ซามูไรในตำนานของญี่ปุ่น) เคยพูดไว้ว่า อย่าเปิดช่องให้กับนักดาบคนไหนๆ จงใช้ความนิ่งเข้าสู้และอย่า 'เต้น' เพราะมันจะทำให้คุณไม่สงบและพลาดพลั้งในท้ายที่สุด ... แต่ผมทำได้ ผมว่าผมสามารถเต้นระหว่างสู้ได้ด้วยพลังแห่งฟุตเวิร์ก" อเดซานย่า กล่าว
สไตล์ของเขาไม่ได้เหมือนกับนักสู้โดยธรรมชาติ คนอื่นๆ อาจจะหมกมุ่นเรื่องเทคนิคและพลังการทำลายของการโจมตีเป็นหลัก แต่สำหรับ อเดซานย่า เขาเชื่อมั่นในท่วงท่าในการชก เหมือนกับการออกแบบท่าต่อสู้ในหนังสักเรื่องหนึ่ง ที่นอกจากจะใช้งานได้จริงแล้วต้องสวยและสง่างามด้วย
"ผมเป็นเหมือนนกยูงรำแพน ผมมีความมั่นใจมากในสไตล์ ผมไม่กลัวที่จะแสดงให้เห็นว่าผมคือใคร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุด" อเดซานย่า เชื่อในกฎของหนังแอ็คชั่น และนั่นทำให้เขาศึกษาจากทั้ง บรูซ ลี, เฉิน หลง และ โทนี่ จา เพื่อเอาวิชาของแต่ละคนมารวมกันและใช้ในการต่อสู้จริงให้ได้
สวยงามและทรงพลัง
"ผมเป็นศิลปะและผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้พยายามโดดเด่นในผืนผ้าใบและกรง 8 เหลียม ผมพยายามสนุกกับมัน" อเดซานย่า อธิบายถึงสไตล์ที่ทำให้เขากลายเป็นแชมป์ที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่ง
หลังจากขึ้นต่อสู้ในหลายกติกาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน ไม่ว่าจะ MMA, คิกบ็อกซิ่ง หรือแม้แต่ มวยสากล ที่สุดแล้วอเดซานย่าเลือกที่จะมาโฟกัสกับ MMA อย่างเต็มตัว ซึ่งความสุดยอดของเขาทุกอย่างถูกยืนยันด้วยชัยชนะและลีลาเมื่อขึ้นชก เขากลายเป็นนักสู้ที่มีทั้งพลังและความสวยงามในเวลาเดียวกัน ดุจฉายา "The Last Stylebender" พร้อมกับสถิติไร้พ่าย 11-0 ทำให้ UFC ต้องจับเขาเซ็นสัญญาเมื่อเดือนธันวาคม 2017
นับตั้งแต่การขึ้นชกไฟต์แรกใน UFC เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ที่เอาชนะ ร็อบ วิลคินสัน ด้วยการน็อคภายในยกที่ 2 และไล่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันในเดือนตุลาคม 2019 อเดซานย่ายังคงเป็นนักสู้ไร้พ่ายสถิติขึ้นชก 18 ไฟต์ ชนะทั้ง 18 ไฟต์ผ่านคู่ต่อสู้อย่าง เดเร็ก บรุนสัน, แอนเดอร์สัน ซิลวา, เคลวิน กาสเตลั่ม ก่อนกระชากเข็มขัดแชมป์โลก UFC รุ่นมิดเดิ้ลเวต จาก โรเบิร์ต วิทเทกเกอร์ และป้องกันเข็มขัด ชนะ โยเอล โรเมโร่ มาได้สำเร็จ
บางครั้งจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจอาจจะขึ้นง่ายเสียจนเราแทบไม่ต้องไปไขว่คว้า ตัวของ อเดซานย่า นั้นแค่เปิดหนังเรื่อง "องค์บาก" ดูก็รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่ยืนยันว่าการแสดงของ โทนี่ จา ในเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะกับเขาอย่างที่สุด คือสุดท้ายเขาได้กลายมาเป็นนักสู้ที่แม้จะแตกต่างด้วยสไตล์ทว่าสุดท้ายแล้วก็ประสบความสำเร็จ
ทุกคนรอบข้างของเขาต่างเล่าตรงกันว่าความฝันและความมุ่งมั่นของ อเดซานย่า ชัดเจนจนทำให้ทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องง่าย แม้ว่าวันนี้เขาจะยังไม่พอใจกับความสำเร็จที่มี แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่เคยลืมว่าชีวิตไม่ได้มีแค่การขึ้นชกบนเวทีเท่านั้น อเดซานย่า ยังคงสนุกกับการใช้ชีวิตและมีเวลาที่จะเอ็นเตอร์เทนตัวเองอยู่เสมอ
"เขาเป็นคนที่เหมือนกับมีสวิตช์เป็นของตัวเอง ถ้าเขาไม่อยู่ในช่วงเก็บตัวเขาจะสนุกสุดเหวี่ยงมาก และถ้าเขากลับมาในแคมป์ ทุกอย่างจะถูกโยนทิ้งออกไปนอกหน้าต่างทั้งหมด"
"เขาเป็นนักสู้ที่สำลักความสุข และสบายใจกับทุกย่างก้าว ถ้าเขารู้สึกว่าเขามีความสุข เขาสามารถทำได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ" อบิโบลา เบ็คกี้ย์ เพื่อนซี้ของเขากล่าว
ชีวิตของ อิสราเอล อเดซานย่า จะว่าไปก็ได้รับอิทธิพลมาจาก โทนี่ จา ไม่มากก็น้อย ... ทิ้ง ประดู่พริ้ว ที่โหดและดุดันในหนังเปรียบเสมือนกับ อเดซานย่า เมื่ออยู่บนเวที ... และเมื่อคว้าชัยชนะแล้วเขาก็จะออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ โทนี่ จา นั่นคือมีความสุขจากชื่อเสียงที่ได้มาจากความทุ่มเทนั้นเสีย สนุกกับการใช้ชีวิตและรอวันที่จะได้พิสูจน์ตัวเองในศึกต่อไป
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
โฆษณา