9 มี.ค. 2020 เวลา 12:39
ตอนที่ 2
เมื่อพูดถึงโสเภณีแล้ว จะไม่พูดถึง
โรคสำหรับบุรุษนักเที่ยวก็ไม่ได้
💋"โรคบุรษ" หรือ "กามโรค"💋
ใครยังไม่อ่านบทที่ 1 คลิกได้เลยนะครับ
มาต่อกันเลยครับ
"โรคสำหรับบุรุษนักเที่ยว" หรือเรียกสั้นๆว่า "โรคบุรษ" หรือ "กามโรค"
ราวสมัยรัชกาลที่4 นี่เองที่เริ่มเห็นบันทึกชัดๆ ว่ากามโรคนั้นมีการระบาดในสยาม
ฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว
ฌอง-บัปติสต์ ปาลกัวซ์ สังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำประเทศสยาม
บันทึกไว้ว่า
“ดูเหมือนกามโรคจะระบาดมากในหมู่คนมั่งมีก็เป็นการลงโทษอันเหมาะสมแล้วสำหรับคนที่มีเมียมากและหมกมุ่นในกามคุณ”
ถนนจักรเพชร ย่านวังบูรพา แหล่งโสเภณีนคร
สมัยรัชกาลที่ 4 มีการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี จุดมุ่งหมายนั้นเพื่อที่จะหารายได้เข้ารัฐ และนำเงินมาพัฒนาทำการตัดถนนหนทางเขตเมือง
และประเทศสยามช่วงรัชกาลที่ 5 ได้มีการพัฒนาประเทศเพื่อต้อนรับอารยธรรมใหม่ๆจากชาติตะวันตก คนหลากหลายเชื้อชาติหลั่งไหลเข้ามาค้าขายลงทุนในสยามเป็นอันมาก
โรงเต้นรำสำเพ็ง
แม้กระทั่งอาชีพโสเภณีต่างชาติด้วยเช่นกัน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ต่างหลั่งไหลเข้ามาในพระนคร จนมีชายไทยโดยเฉพาะในเขตพระนคร เป็นโรคบุรุษ หรือ กามโรค แทบครึ่งค่อนเมือง หากแต่ไม่สามารถยืนยันจำนวนได้ในสมัยนั้น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีรายงานของกรมสุขาภิบาลระบุว่า ผู้ชายในพระนครที่ป่วยเป็นกามโรคมีจำนวนถึงร้อยละเจ็ดสิบห้า
เนื่องจากในสมัยนั้นผู้คนยังไม่ค่อยมีความรู้ด้านการเเพทย์เหมือนปัจจุบัน วิธีการรักษาจึงใช้การต้มยาหม้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่หายขาดเพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการลดความเจ็บปวดแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อให้หายไปจากร่างกาย
ในตำรับตำรายาไทยโบราณ มีคำเรียก โรคบุรษ หลายคำ ดังเช่น โรคบุรุษ โรคสำหรับบุรุษ โรคสตรี อุปทุม หรืออุปทม
2
ยาหม้อ ภาพจาก ayuwat.com
จารึกการแพทย์ของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร กล่าวว่า
“ถ้าผู้ชายเป็นโรคสำหรับบุรุษ ไส้ด้วน ไส้ลามแลให้แตกออก เป็นน้ำเหลืองไหลเซาะอยู่ทั้งกลางคืนกลางวัน ให้เจ็บปวด ดังจะขาดใจตายฯ”
ตำราแพทย์แผนไทย’คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา’
บอกเหตุแห่งไว้ว่า อุปทม ไส้ด้วน มีทั้งเกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรีที่ยังไม่มีระดู ข่มขืน กระทำชำเรา เสพเมถุนกับหญิงแพศยาเป็นกาลกิณีสำส่อน เกิดจากชายเสพเมถุนรุนแรง
กระทบชอกช้ำภายใน และเกิดจากชายเสพเมถุนกับสตรี ซึ่งกำลังมีประจำเดือน ฯลฯ
2
ไม่เพียงแต่ประชาชนราษฏรจะเป็นโรค แม้แต่เจ้าขุนมูลนายก็ได้ติดโรคดังกล่าวจำนวนไม่น้อย
ภาพจาก http://decembertown.com/ซิฟิลิส/
สมัยก่อนคนที่เป็นโรคนี้ ดูไม่ยาก เพราะจะมีอาการเข้าข้อออกดอก(ระยะของกามโรคที่เกิดมีเม็ดผื่นเป็ดดอกๆตามร่างกาย)
โดยมากมักจะเจ็บปวดร้องระงมในช่วงหน้าหนาว ถ้าเข้าข้อออกดอกหนักเข้าก็จะลามอย่างรวดเร็วไปยันแขนขาและขาหนีบ ทำให้คันและเดินไม่ถนัด
1
หากมีฝีเกิดขึ้น มักจะเกิดขึ้นบริเวณลำคอทั้งสองข้างและก็ต้องเอาก่อเอี๊ยะปิดฝีไว้
เวลาหันไปคุยกับใครก็ต้องหันไปทั้งตัว
หากหันเพียงคอก็จะเจ็บปวด ไม่สามารถหันคอแบบคนปกติได้
2
กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ.2451 คณะเสนาบดีจึงได้ตรา “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค” และให้มีผลบังคับเฉพาะในเขตพระนคร และ พ.ศ.2456 ให้มีผลทั่วราชอาณาจักร
ภาพเก่าโรงเต้นรำสำเพ็ง
โดยการควบคุมโสเภณีนครให้มีการตรวจโรค และจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้มีสุขพลานามัยที่ดีและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาร้องเรียนมากมายทั้งการมั่วสุมเสพฝิ่นและการเปิดให้บริการจนดึกดื่น ส่งผลกระทบต่อประชาชนในเขตพื้นที่ใกล้เคียง
เป็นที่หนักใจและภาระของหน่วยกรมตระเวน(ตำรวจ) ต้องทำการขอตรวจใบอนุญาติโสเภนีนคร และปรามโสเภณีนครที่เดินเตร็ดเตร่ขายบริการชักชวนตามท้องถนน
กรมตระเวณ(ตำรวจ)
เมื่อการพยายามจัดระเบียบของทางรัฐ ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเป็นระเบียบมาอย่างยาวนานหลายปี
ภาพเก่าย่านสำเพ็ง
จนในปี พ.ศ.2503 สมัยจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น จึงได้ออก
“พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503” ถือว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ปรับปรุงมาเป็น “ป้องกันและปราบปราม” ในปี พ.ศ.2539 เอาโทษกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง
แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายมาเพื่อปราบปรามอย่างจริงจังในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอาชีพนี้ได้ มีการพัฒนาขึ้นไปอีกหลายรูปแบบเช่น อาบอบนวด คาเฟ่ บาร์ ไนต์คลับ จนถึงโทรศัพท์ อินเตอร์เนต และการค้าที่แอบแฝงมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึง
❤️กดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจ❤️
ขอบคุณครับ🙏🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา