10 มี.ค. 2020 เวลา 02:23
#แบกเป้ดูบอลไทย
"พักเบรคบอลลีก"
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทุกสโมสรต้องวางแผนให้เฉียบ
ข้อมูลล่าสุดจากช่วงเย็นที่ผ่านมา มีประชากรทั่วโลกติดเชื้อไวรัส “โควิด-19” ไปแล้วกว่าหนึ่งแสนกว่าราย เสียชีวิตไปมากกว่า 3,800 ราย และหากมองเฉพาะประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อไปแล้วถึง 50 คน และเสียชีวิต 1 คน
จากกรณีดังกล่าว จึงไม่แปลกใจว่าทำไม บริษัท ไทยลีก จำกัด จึงออกมาประกาศเลื่อนการแข่งขันศึกไทยลีกทุกระดับให้กลับมาฟาดแข้งได้อีกครั้งในวันที่ 18 เมษายนนี้
เพราะ “โควิด-19” คือภัยคุกคามระดับโลก ที่ส่งผลกระทบไปยังทุกคนเป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่วงการลูกหนังในบ้านเรา และความปลอดภัยของทุกคนคือสิ่งที่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันมองว่า “สำคัญที่สุด”
ฉะนั้น “45 วัน” คือเวลาที่ทุกทีมจะไร้แมตช์แข่งขันอย่างเป็นทางการ นี่คือการบ้านชิ้นโตที่สโมสรจากไทยลีกทุกระดับต้อง “วางแผน” ให้ดี เพราะด้วยช่วงเวลาที่เว้นว่างยาวขนาดนี้ หากทีมไหนขาดการวางแผนที่ดี เชื่อว่าการกลับมาแข่งขันต่ออีกครั้งจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายของพวกเขาอย่างแน่นอน...
#หัวตารางไทยลีก #กลุ่มนำลีกพระรอง จะเฉิดฉายต่อหลังพักเบรคหรือไม่ ?
ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และราชบุรี มิตรผล เอฟซี คือ 2 ทีมบนลีกสูงสุดที่ยังคงทำสถิติชนะรวด 100 เปอร์เซ็น ครองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนทาง “สิงห์เจ้าท่า” เป็นรองแค่ 2 ทีมข้างต้น ด้วยสถิติชนะ 3 เสมอ 1 และยังไม่แพ้ใคร
ขณะที่ฝั่งลีกพระรอง แน่นอนว่า ณ วินาทีนี้ทุกสายตาล้วนแต่จับจ้องมาที่สองเจ้าบุญทุ่มทั้ง หนองบัว พิชญ เอฟซี และเชียงใหม่ ยูไนเต็ด บวกกับอีกหนึ่งทีมแกร่งจากชายฝั่งตะวันออกอย่าง ราชนาวี ขณะที่ ขอนแก่น ยูไนเต็ด กับ เชียงใหม่ เอฟซี ก็ค่อยๆ เร่งฟอร์มเก่งขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อันดับ 1 กับ 8 ของตารางนั้นมีคะแนนห่างกันเพียงแค่สามแต้มเท่านั้น
ทั้งหมดที่กล่าวไปคือทีมที่ทำผลงานได้ดีนับตั้งแต่เปิดฉากฤดูกาล 2020 แต่สถานการณ์ที่พวกเขาไม่เคยเจอเฉกเช่นทีมในลีกเอิง หรือ บุนเดสลีกา ที่มีช่วงพักเบรคหนีหนาวก็คือ ฟอร์มกำลังดี แต่กลับต้องหยุดแข่งไป 1 เดือน 15 วัน !!!
นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายบริหาร และทีมสต๊าฟของทุกทีมจะต้องมานั่นถกถึงโปแกรมการฝึกซ้อม โปรแกรมการปล่อยตัวพัก รวมไปถึงแมตช์อุ่นเครื่องที่ควรจะมีถี่หรือไม่ เพื่อการรักษาสภาพความฟิต โดยที่ไม่ให้กระทบต่ออาการบาดเจ็บเพิ่มเติม
หากสโมสรใดสามารถหลุดพ้นจากช่วงพักเบรค 45 วันโดยที่ไม่มีใครเจ็บเพิ่มเติม รวมทั้งสามารถรักษาสภาพความฟิตของนักเตะร่วมๆ สามสิบชีวิตในทีมได้ รับรองได้ว่าพวกเขามีโอกาสเดินทางขยับไปไกลถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน
#กิเลนผยอง #ปราสาทสายฟ้า #กว่างโซ้งมหาภัย จะพลิกวิกฤต “พักเบรค” ให้เป็นโอกาส ?
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในฤดูกาล 2020 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ดีกรีเเชมป์ไทยลีก 4 สมัย, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ดีกรีแชมป์ไทยลีก 6 สมัย, สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์ไทยลีกปีล่าสุด จะนัดกันโชว์ฟอร์มออกทะเล หลังผ่าน 4 เกมแรก ทัพ “กิเลนผยอง” อยู่อันดับ 7 ขณะที่ ทัพ “ปราสาทสายฟ้า” และ “กว่างโซ้งมหาภัย” รั้งอันดับ 10 และ 11 เท่านั้น หากแข่งไปเรื่อยๆ โดยไม่มีสถานการณ์ “โควิด-19” มาขั้นกลาง พวกเขาอาจจะฟอร์มหลุดทะเลไปกว่านี้
ไม่แน่ว่าเวลาพักเเข่ง 45 วัน อาจทำให้ทีมเหล่านี้ซึ่งเป็นทีมขนาดใหญ่ ได้พักหายใจหายคอ ทบทวนสิ่งที่พลาด และอาจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วย “ประสบการณ์” ที่ “มากกว่า” ทีมอื่นๆ เพราะอย่าลืมว่า แม้ เอสซีจี เมืองทองฯ จะใช้นักเตะดาวรุ่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ อเล็กซานเดร กาม่า มีประสบการณ์กับเวทีไทยลีกมา 7 ปีเต็ม เขาน่าจะพา “กิเลน” ทีมนี้ ให้กลับมาผยองอีกครั้ง แบบที่ทำมาแล้วเหมือนช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2019
ส่วน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่แข้งต่างชาติที่ฟอร์มยังดูไม่เข้าร่องเข้ารอยอาจใช้เวลานี้จูนเข้ากับแทคติกของทีม ที่หวังใช้เด็กอะคาเดมี่เป็นกำลังสำคัญของ เช่นเดียวกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่แม้ปีนี้ยังมีงบทำทีมน้อยที่สุดหากเทียบกับทีมชั้นนำในไทยลีก 1 แต่ด้วยสปีริตของนักเตะ รวมถึงแกนหลักประกอบกับนักเตะใหม่ที่ซื้อมาก็กำลังทำผลงานได้ดี ไม่แน่ว่าการพักช่วงแข่งในครั้งนี้ จะทำให้นักเตะเล่นได้ดั่งใจโค้ชมากขึ้น บวกกับการเตรียมกลับมาคืนสนามของ เอกนิษฐ์ ปัญญา มองดูแล้ว แชมป์เก่าจากแดนล้านนา น่าจะดูดีขึ้นในแง่ของเกมรุกอย่างแน่นอน...
#พักเบรคบอลลีก #ช่วงเวลาสำคัญฟื้นฟูทีม
หลังผ่าน 4 นัดแรก ต้องยอมรับว่าหลายทีมยังมีนักเตะ 11 ตัวจริง ไม่ฟูลทีม ไม่ว่าจะเป็น เอสซีจี เมืองทองฯ ที่ขาด ไดสุเกะ ซาโตะ แบ็กซ้ายโควตาอาเซียน ที่ “กล้ามเนื้อน่อง และ เอ็นร้อยหวายฉีกขาด” ขณะที่ฝั่ง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ยังขาด “เจ้าชายกว่างโซ้ง” เอกนิษฐ์ ปัญญา เป็นแนวรุกใน 11 ตัวจริงจนทำให้ออกสตาร์ทได้ค่อนข้างผิดฟอร์ม ไม่ต่างกับ “ช้างเผือก” เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ที่แม้จะมี เมลวิน เดอ ลูว์, วูกึน ยอง และถวิล บุตรสมบัติ เป็นสามประสานแนวรุก แต่เชื่อว่าหากพวกเขามี โดมินิค อดิเยียห์ เป็นไพ่ใบเด็ดในสนามอีกคน รับรองได้ว่าเกมรุกของรองจ่าฝูง T2 จะดุดันกลมกล่อมขึ้นสมใจแฟนบอลรอคอยแน่
ไม่แน่ว่า หลายทีมที่ยังมีนักเตะบาดเจ็บ อาจใช้ช่วงพักเบรค 45 วัน หาแนวทางการเล่นใหม่ด้วยการผสมผสานกับนักเตะที่มีอยู่ประกอบกับนักเตะที่เพิ่งฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บจนทำให้ฟอร์มโดยรวมดีขึ้นแบบก้าวกระโดดก็เป็นได้
สุดท้ายนี้ตัวผมเองคงไม่ขออะไรไปมากกว่า ภาวนา และวิงวอนขอให้แมตช์ในวันที่ 18 - 19 เมษายน นี้ กลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง พร้อมกับสถานการณ์ “โควิด-19” ที่ดีขึ้น เพราะผมเชื่อว่าแฟนบอลชาวไทยที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ “ไทยลีก” ก็คงอดใจรอยลจากฝีเท้าของนักเตะ และสโมสรที่รักจนแทบทนไม่ไหวแล้ว เพราะภาพที่ตรึงอยู่ในใจของคนที่รักฟุตบอลในแต่ละสัปดาห์ ก็คงหนีไม่พ้น การเฝ้ารอให้เข็มนาฬิกาหมุนไปถึงช่วงสุดสัปดาห์ตอนหัวค่ำ พร้อมกับการเดินเข้าสู่สนามฟุตบอล และจับมือกับคนที่เรารัก หรือเพื่อนฝูง เพื่อไปให้กำลังใจทีมที่เรารักนั่นเอง…
“เก้น” นิติพงษ์ ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล - ฟุตซอล ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต
#TogetherAsOne #เชียร์ไทยใจเดียวกัน #Thaileague #T1 #ToyotaThaileague #Thaileague2020 #ไทยลีก #บอลไทย #ฟุตบอลไทย #โตโยต้าไทยลีก #โตโยต้าไทยลีก2020
โฆษณา