11 มี.ค. 2020 เวลา 02:39 • ธุรกิจ
‘’AOT” ยืน 1 หุ้นไซต์ใหญ่ “กลุ่มสนามบิน” เทียบทั้งโลก
AOT หรือบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เดิมใช้ชื่อว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ ทอท. เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นองค์กรบริหารงานท่าอากาศยานระดับแห่งชาติของไทย เพื่อดำเนินกิจการท่าอากาศยานต่างๆ ให้มีมาตรฐานและประสิทธิภาพ และรับโอนกิจการท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเคยสังกัดกรมการบินพลเรือน (กองทัพอากาศ) ต่อมา ทอท. ได้แปลงสภาพเป็นบริษัทภายใต้นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไทย โดยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลชื่อ "บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)" และปรับตราสัญลักษณ์ใหม่ โดยชื่อย่อของบริษัทยังคงใช้ "ทอท." เช่นเดิม ส่วนชื่อภาษาอังกฤษคือ Airports of Thailand Public Company Limited และใช้ชื่อย่อว่า AOT ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา โดยกระทรวงการคลัง ถือหุ้นร้อยละ 70
ฝ่ายวิจัย ตลท. เผยแพร่รายงานจัดอันดับขนาด “หุ้นไทย” เปรียบเทียบกับหุ้นทั่วโลกในอุตสาหกรรมเดียวกัน พบ “AOT” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 หุ้นกลุ่มสนามบินมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดของโลก. ในขณะที่ PTT มีมูลค่ากิจการตามราคาตลาดเท่ากับ 799,764 ล้านบาท เรียกว่าการตกลงมากกว่า 25% กระชาก PTT ลงจากตำแหน่งอันดับ 1 ตลาดกาล ได้ภายในเวลาช่วงข้ามวัน
ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยรายงาน “SET Note” โดย ปฐมาภรณ์ นิธิชัย จัดอันดับขนาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันทั่วโลก เพื่อบันทึก เป็นสถิติ และติดตามการเปลี่ยนแปลงในปีต่อๆ ไป โดยใช้ Market Capitalization ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับ ในจำนวนทั้งหมด 27 กลุ่มอุตสากรรม
โดยพบว่า “หุ้นไทย” มีขนาดใหญ่ติด Top 10 ของโลก อยู่ 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่ม สนามบิน กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยพบว่า
AOT มี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มสนามบิน
BDMS มี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกในกลุ่มการแพทย์
SCC มี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบในระดับอาเซียน พบว่าหุ้นไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนใน 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มสนามบิน กลุ่ม การแพทย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงแรม และกลุ่มค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนหุ้นที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จึงคํานวณอันดับของหุ้นไทยเทียบกับ จำนวนหุ้นทั่วโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น พบว่า หุ้นไทยใหญ่ติดอันดับ top decile หรือ อยู่ในกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 10% แรก ของอุตสาหกรรมใน 17 กลุ่มอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนหุ้นที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม การเปรียบเทียบเฉพาะอันดับอาจให้ภาพที่ไม่สมบูรณ์ จึงเรียงลำดับ market capitalization จากมากไปน้อย และจัดกลุ่ม 10 กลุ่มตามขนาดของหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรม พบว่า หุ้นไทยใหญ่ติดอันดับ top decile หรือ อยู่ในกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 10% แรกของอุตสาหกรรมในจำนวน 17 กลุ่มอุตสาหกรรม และในจำนวนนี้มี 7 กลุ่มที่หุ้นไทยใหญ่ที่สุดในอาเซียน (ตารางที่ 1) ได้แก่
• กลุ่มสนามบิน โดย AOT มีขนาดใหญ่ที่สุด ตามด้วยสนามบิน AENA ในสเปน
• กลุ่มธนาคาร โดย SCB มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 115 จาก 1,647 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มปิโตรเคมี โดย PTTGC มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 58 จาก 1,700 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดย SCC มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 8 และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
• กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดย CK มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 122 จาก 1,251 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มสินเชื่อบุคคล โดย MTC มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 11 และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
• กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดย DELTA มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 129 จาก 1,625 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มพลังงาน โดย PTT มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 27 และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
• กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดย CPF มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 88 จาก 2,002 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มการแพทย์ โดย BDMS มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 เป็นรอง HCA ในสหรัฐอเมริกา และ AIER EYE ในจีน
• กลุ่มโรงแรม โดย MINT มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 14 และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
• กลุ่มโทรคมนาคม โดย ADVANC มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 34 จาก 420 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มสื่อ โดย VGI มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 138 จาก 1,667 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดย CPN มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 41 จาก 2,029 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มร้านอาหาร โดย M มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 36 จาก 373 หุ้นทั่วโลก
• กลุ่มค้าปลีก โดย CPALL มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 31 และใหญ่ที่สุดในอาเซียน
• กลุ่มสาธารณูปโภค โดย GULF มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 66 จาก 943 หุ้นทั่วโลก
ในปีนี้ หุ้นไทยติดอันดับ top 10 ของโลก และใหญ่ที่สุดในอาเซียน และติดในกลุ่ม top decile ของโลกในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เมื่อหุ้นไทยขนาดใหญ่ขึ้นตามความก้าวหน้าของธุรกิจ ความน่าสนใจของหุ้นจะเพิ่มขึ้นในสายตานักลงทุน
และด้วยศักยภาพของธุรกิจไทย ทั้งความชำนาญในธุรกิจเดิมบวกการสร้างนวัตกรรม การขยายไปในธุรกิจใหม่ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน การเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ธุรกิจไทยยังคงมีโอกาสเติบโตซึ่งจะสะท้อนในราคาหุ้น และ market capitalization ที่เพิ่มขึ้น และมีอันดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วโลกในปีต่อๆ ไป.
Ref:
อ่านต่อเรื่องสงครามราคานำ้มัน
โฆษณา