14 มี.ค. 2020 เวลา 11:28 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอนิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 1
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
รถสองแถวเก่าจนแทบจะปลดระวาง วิ่งฝ่าอากาศร้อนยามบ่าย
สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ลอยขึ้นมาจากถนนดินลูกรัง
ตัวรถโยกไปมาตามหลุมบ่อของพื้นถนนที่วิ่งผ่าน
พอ ๆ กับฝุ่นคลุ้งขึ้นมาเมื่อล้อรถบดไปบนดินลูกรัง
ผู้คนในรถบางตา นับจำนวนได้ไม่ถึงหนึ่งโหล
ส่วนใหญ่ก็เป็นคนท้องถิ่นหมู่บ้านละแวกที่รถสองแถววิ่งผ่าน
หลายคนหลับอย่างไม่รู้สึกรู้สากับอาการโยกไหวของตัวรถ คงเพราะคุ้นชิน
บ้างก็นั่งคุยกันอย่างออกรสมาตลอดเส้นทาง
จะมีแปลกตาก็คือ ชายหนุ่มคนหนึ่ง คนต่างถิ่นที่สวมหมวกปานามา
สวมใส่ด้วยเสื้อเชิร์ตลายสก็อตที่ปลดกระดุมสองเม็ดบนออก
และสวมทับด้วยแจ็กเก็ตยีนส์ตัวหนา ท่ามกลางอากาศร้อนแบบนี้...
”บ้ารึเปล่า? ร้อนจะตายห่าน”
คงเป็นสิ่งที่ป้าขายผักที่นั่งฝั่งตรงข้ามคิดในใจ
“หนุ่มบางกอกแน่ ๆ “ ป้าคิดแบบนั้นในใจ
รถสองแถววิ่งถึงทางแยก ตรงนั้นมีป้ายไม้ปักไว้
บนป้ายไม้มีข้อความเขียนด้วยมือพร้อมลูกศรชี้ไปทางซ้าย
ข้อความว่า
“ทางไปบ้านบางบอกดิก”
รถสองแถวเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางป้ายบอก วิ่งโยกโคลนไปตามหลุมขรุขระไม่ต่างจากหลุมอุกาบาตรบนดวงจันทร์
ชั่วอึดใจก็จอดนิ่งสนิทที่ลานจอดรถหน้าหมู่บ้าน
บ้านช่องร้านรวง และร้านกาแฟประจำหมู่บ้านบางบอกดิกยังอยู่ตรงที่เดิม
ทุกคนทยอยลงจากรถ
ชายหนุ่มต่างถิ่นสะพายถุงทะเลแล้วเดินลงมาจากรถสองแถวเป็นคนสุดท้าย
ชายหนุ่มถอดหมวกออก แล้วใช้หมวกนั้นปัดฝุ่นดินแดงตามตัวออก
ก่อนจะสวมหมวกนั้นอีกครั้ง
เหลียวซ้ายขวาชั่วครู่ก็เดินตรงเข้าไปที่ร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน
เสก ก้าวเล็ก
ชายหนุ่มกวาดตามองภายในร้าน มีโต๊ะนั่งห้าตัว โต๊ะสองตัวที่อยู่ติดด้านนอกร้าน นั่งไว้ด้วยชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง โต๊ะแรกมีสามคน
เป็นชายหัวล้านไว้หนวดหนึ่งคน
ชายหน้าเหลี่ยมกรามใหญ่หนึ่งคน
และชายผมหยักศกไว้หนวดเฟิ้มอีกหนึ่งคน
อีกโต๊ะที่อยู่ติดกันเป็นชายอีกสี่คน
น่าจะเป็นลิ่วล้อติดตาม หน้าตาประมาณเดียวกัน อย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มเลือกโต๊ะที่อยู่ติดถนน จากตำแหน่งนี้เขามองเห็นเป็นมุมกว้างได้ทั้งในและนอกร้าน
เถ้าแก่เจ้าของร้านวิ่งเข้ามา ในมือถือผ้าขี้ริ้วสีดำเหมือดเหมือนอยู่มาครบหนึ่งพันปี พลางเช็ดโต๊ะด้วยท่าทียิ้มแย้มเป็นมิตรและเอ่ยถามแบบคนจีนพูดภาษไทย
(ออกเสียงกันเอาเองนะครับ)
“รับอะไรดีคับ?”
“เถ้าแก่มีนมเย็นไหม นมเย็นใส่น้ำแดง ขอสักแก้ว” ชายหนุ่มถามกลับ
“มีคับ เดี๋ยวชงให้เลยคับ จะรับอะไรเพิ่มมั๊ยคับ ผัดตามสั่งร้านอั๊วก็มีนะ”
“เอาเท่านี้ก่อนแล้วกันครับ เถ้าแก่”
เถ้าแก่หายไปชงนมเย็นอย่างกุลีกุจอ
อากัปกริยาทั้งหมดอยู่ในสายตาของโต๊ะชายฉกรรจ์หัวล้านมาโดยตลอด หัวโล้นลูบศรีษะอันเกลี้ยงเกลาไร้ผมพร้อมกับเลียริมฝีปากหนึ่งครั้ง พลางปลายตามาที่ชายหน้าเหลี่ยม ทั้งสองลุกขึ้นเดินตรงไปที่โต๊ะของชายหนุ่มต่างถิ่น
หน้าเหลี่ยมกรามใหญ่ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ส่วนหัวล้านเอาเท้าซ้ายเหยียบไว้บนเก้าอี้ก่อนโน้มตัวลงมาแล้วถามขึ้น
“เฮ้ย ไอ้หน้าหล่อ...เอ็งมาจากไหน? พวกข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“ฉันมาจากบางกอกน่ะพี่...” ชายหนุ่มตอบ
“แล้วเอ็งมาที่บ้านบางบอกดิกทำไม?” หน้าเหลี่ยมถามต่อ
“ฉันร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ น่ะ แล้วแต่มันจะพาฉันไปที่ไหน”
“เอ๊ะ...ไอ้นี่ตอบกวนตีนแล้วไง” หน้าเหลี่ยมเริ่มเสียงแข็ง
เถ้าแก่เดินกลับมาพร้อมกับแก้วนมเย็นสีชมพู พลางวางลงตรงหน้าแทรกกลางระหว่างวง
“พวกลื้ออย่ามาหาเรื่องที่ร้านอั๊วเลย อั๊วคนทำมาหากิน อีก็มาจากต่างถิ่น พวกลื้อจะอะไรกันนักกันหนา”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งไอ้หมู อย่าเสือก...” หัวล้านหันไปตวาดเถ้าแก่
ไอ้ภพ
ชายหนุ่มเอื้อมมือจะหยิบแก้วนมเย็นมาดื่ม แต่ถูกหน้าเหลี่ยมคว้ามาแย่งดูดแทน ก่อนจะบ้วนทิ้ง
“ถุยยยย...แดกนมเย็นเนี่ยนะ ไอ้หน้าจืด สงสัยปากมันยังไม่สิ้นกลิ่นนมจริง ๆ เว้ยเฮ้ยพวกเรา...ฮา ๆๆ”
หน้าเหลี่ยมหันไปพยักเพยิดกับโต๊ะลูกน้อง พลางเสียงหัวเราะดังลั่นกันตรึม
“พวกนายจะมาก่อนกวนอะไรฉัน ทำไมไม่กลับไปอยู่ที่โต๊ะของตัวเองล่ะ”
ชายหนุ่มเริ่มน้ำเสียงแข็ง
“ก็พวกข้าไม่พอใจเอ็งไง โทษฐานที่เอ็งมีหน้าตาไม่ถูกชะตากับส้นตีนของพวกข้า” หัวล้านพูดพลาง กระดิกเท้าซ้ายที่วางอยู่บนเก้าอี้ให้ดูประกอบ
“ถ้างั้นหน้าตาพวกนายก็คงไม่ถูกชะตากับส้นตีนฉันเหมือนกันล่ะ” ชายหนุ่มตอบ
หัวล้านถีบเก้าอี้กระเด็น พร้อม ๆ กับหน้าเหลี่ยมที่ผุดลุกขึ้นด้วยโทสะ
หัวล้านลูบหัวที่ล้านอีกหนึ่งครั้งบอก ส่วนหน้าเหลี่ยมหันไปพยักหน้า หนวดผมหยักศกพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดเดินมาสมทบ
หน้าเหลี่ยม กฤษณะ
ชายหนุ่มคาดคะเนแล้วว่ากำลังจะเกิดเรื่องชกต่อยแน่ จึงถอดหมวกปานามาวางบนโต๊ะ ลุกขึ้น แต่ยังสะพายถุงทะเลไว้
“ไปคุยกันนอกร้านดีกว่า”
ชายหนุ่มเดินนำมาหน้ามาหยุดตรงรถสองแถวคันที่โดยสารมาจอดนิ่งสนิทอยู่
เขาเลือกตำแหน่งให้ด้านหลังของตนเองคือรถสองแถว
พลางสอดส่ายสายตาประเมินฝ่ายตรงข้าม มีทั้งหมดเจ็ดคน
ทั้งหมดล้อมกรอบชายหนุ่มเป็นรูปตัวยู
“วันนี้เอ็งจมกองตีนแน่ไอ้หน้าจืด” ผมหยักศกเพิ่งจะมีโอกาสได้พูดกับเขาบ้าง
ไอ้ศักดิ์
“งั้นขอวางถุงทะเลก่อนนะ”
ชายหนุ่มทำทีจะวาง แต่แล้วกลับสะบัดฟาดถุงทะเลเต็มแรงใส่ผมหยักศกที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
เสียงดังทึบ ๆ ผมหยักศกสลบเหมือดกลางอากาศ ทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้นดินลูกรังทันที
ไม่รอช้าชายหนุ่มโยนถุงทะเลใส่หน้าเหลี่ยม
ก่อนตัวเองจะปราดไปเตะก้านคอลูกสมุนคนที่หนึ่ง
เสยหมัดขวาอัปเปอร์คัตเข้าปลายคงคนที่สอง
แล้วหมุนตัวกลับมาฮุคหมัดขวาเข้าที่ท้องคนที่สาม
ก่อนกลับตัวเตะจระเข้ฟาดหางใส่คนที่สี่
พริบตาเดียวลิ่วล้อทั้งสี่ลงไปนอนกองกับพื้น
หน้าเหลี่ยมโยนถุงทะเลทิ้งลงพื้น หันมาสบตากับหัวล้านด้วยความตกใจ
ที่ไอ้หนุ่มหน้าจืดคว่ำคนของตัวเองลงในพริบตาเดียวห้าคน
ทั้งสองเดินปรี่เข้าไปหาชายหนุ่ม แยกเป็นกระหนาบซ้ายขวา ระหว่างชายหนุ่ม
แทบจะทันที ทั้งสองพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
แต่หัวล้านต้องกระเด็นออกมาเพราะถูกลูกถีบมวยไทยของชายหนุ่มยันออกไป
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปต่อยด้วยหมัดฮุคใส่กรามของหน้าเหลี่ยม
เสียงดังป๊อก หน้าเหลี่ยมดตัวลงไปกองกับพื้นอีกคน
ชายหนุ่มหันมาตวัดเท้าขวาเตะใส่ก้านคอของหัวล้านจนมันทรุดลงไปกองกับพื้น
หยักศกที่เริ่มได้สติลุกขึ้น เห็นเพื่อนของตนเองนอนกองกับตีนของชายหนุ่ม
ก็รีบผุดลุกขึ้น พลางชักปืนลูกโม่ที่เหน็บอยู่ด้านหลังออกมาเล็งใส่ชายหนุ่ม
“ปังงงงงง”
เสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่ใช่จากกระบอกปืนของหยักศก
หากแต่เป็นกระบอกปืนยาวของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ยิงปืนขึ้นฟ้า
แล้วเดินตรงเข้ามาขวางกลางวงต่อสู้
“ไอ้ศักดิ์ นี่พวกเอ็งจะทำอะไร จะยิงคนกันง่าย ๆ เรอะ?”
ชายคนนั้นถามขึ้นพลางตรงเข้าไปดึงปืนออกจากมือหยักศกที่ชื่อว่าศักดิ์
“ก็มันมาหาเรื่องพวกฉันก่อนนี่ ผู้ใหญ่ข้าว”
“หาเรื่อง...พวกเอ็งนั่นล่ะ ชอบหาเรื่องไล่กระทืบคนต่างถิ่น จนตอนนี้ไม่มีใครกล้ามาเยือนหมู่บ้านเราแล้ว” ผู้ใหญ่ข้าวตวาดขึ้น
“แต่ว่าพวกฉันโดนมันทำร้ายนะผู้ใหญ่...” หัวล้านที่ประคับประคองกับหน้าเหลี่ยมเอ่ยตัดพ้อ
“พอเลย ๆ ไอ้ภพ ไอ้เบิ้ม เท่าที่ข้าเห็นคือ พวกเอ็งเจ็ดคนจะรุมคุณคนนี้มากกว่า”
ผู้ใหญ่ข้าวปั้นหน้าเคร่งเครียด “พวกเอ็งจะหยุดแค่นี้ หรือจะให้ข้าจับพวกเอ็งไปส่งโรงพัก”
“ไม่ล่ะจ้ะ...งั้นพวกฉันไปดีกว่า...” พิภพหัวล้านยกมือปราม ก่อนจะทำทีท่าพยักหน้าให้พวกตนเองถอย
ทั้งหมดเดินไปขึ้นรถจิ๊บไม่มีหลังคาของตัวเอง
พิภพหันมาที่ชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับชี้หน้า
“ฝากไว้ก่อนเถอะเอ็ง ไอ้หน้าจืด...”
พูดจบก็ลูบหัวล้านหนึ่งครั้งแล้วโดดขึ้นรถ
รถจิ๊บไม่มีหลังคาทั้งสองคันขับห้อตะบึงออกไปจากลานจอดในทันที
ชายหนุ่มหยิบถุงทะเลขึ้นมาปัดฝุ่น ผู้ใหญ่ข้าวเดินตรงเข้ามา
“ต้องขอโทษด้วยนะคุณ ไอ้พวกนี้เป็นคนของพ่อเลี้ยงก้อมผู้มีอิทธิพลของหมู่บ้านน่ะ มันชอบหาเรื่องกระทืบคนต่างถิ่น ก็ดีแล้วโดนของจริง คงเข็ดไปพักหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรครับผู้ใหญ่” ชายหนุ่มยิ้มให้
ผู้ใหญ่ข้าว
“ผมชื่อข้าวน้อย เป็นผู้ใหญ่บ้านบางบอกดิก แต่ที่นี่เรียกผมว่าผู้ใหญ่ข้าว”
ผู้ใหญ่ข้าวแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อเสก...เสก ก้าวเล็ก ครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง
การสนทนาสิ้นสุดลงเมื่อ รถปิคอัพตำรวจวิ่งเข้ามาจอด
ตำรวจสองนายลงจากรถเดินตรงมาที่ทั้งสอง
นายตำรวจหนุ่มยกมือตะเบ๊ะผู้ใหญ่ข้าว
“นึกมุกเก่าออกละ...เกิดอะไรขึ้นครับผู้ใหญ่ เห็นเถ้าแก่หมูให้เด็กวิ่งไปตามที่โรงพัก บอกว่ามีเรื่องวิวาท?”
“ไม่มีอะไรหรอกหมวดชอ ก็ไอ้พวกพิภพคนของพ่อเลี้ยงก้อมนั่นล่ะ มาหาเรื่องคุณคนนี้ก่อน เขาเลยต้องป้องกันตัว แต่ผมมาห้ามไว้ทันก่อนจะบานปลาย”
หมวดชอ
ผู้ใหญ่ข้าวแนะนำ
“หมวดชอ นี่คือคุณเสก ก้าวเล็ก คุณเสกนี่คือหมวดชอ ผู้หมวดประจำบางบอกดิกของเรา”
ทั้งคู่หันมาทักทายกัน
“ผมหมวดชอ ประจำอยู่ที่โรงพักบางกอกดิกนะครับ ส่วนนี่คือจ่าเรื่อยเปื่อย หรือเรียกกันว่าจ่าเปื่อย ถ้าพวกนั้นมารังควานอีกก็บอกกับผมได้ แต่คงขังพวกนั้นได้แค่แป๊ปเดียว เพราะพ่อเลี้ยงก้อมก็จะมาประกันตัวมันออกไปได้ทุกที ที่นี่ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับคนของพ่อเลี้ยงก้อมครับ”
"ขอบคุณครับ หมวดชอ จ่าเปื่อย" เสกยิ้มตอบด้วยไมตรี
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปตรวจพื้นที่ต่อนะครับ”
หมวดชอและจ่าเปื่อยทำความเคารพ ก่อนจะขึ้นรถปิคอัพตำรวจขับจากไป
ผู้ใหญ่ข้าว หันมาถาม
“แล้วนี่พ่อเสกจะทำอะไรต่อ จะเดินทางต่อรึเปล่า แต่รถสองแถวมันวิ่งแค่วันละเที่ยวเท่านั้นนะ ที่นี่อยู่ไกลปืนเที่ยงไปกลับก็หมดวันแล้วล่ะคุณ”
“ผู้ใหญ่พอจะแนะนำที่พักค้างคืนให้ผมได้ไหมครับ?” เสกถามขึ้น
“งั้นไปพักที่บ้านผมก่อนก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจ ที่บ้านผมมีแค่ผม กับเมียและลูกสองคนเท่านั้น”
“จะดีเหรอครับ? ผมเกรงใจผู้ใหญ่ข้าว”
“ไม่เป็นไร...คุณไปพักที่อื่นจะไม่ปลอดภัย ผมกลัวไอ้ภพจะแอบย้อนมาเล่นงานคุณ
ถ้าพักบ้านผมมันยังเกรงใจอยู่บ้างล่ะนะ”
“ขอบพระคุณครับผู้ใหญ่ข้าว” เสกยกมือไหว้ขอบคุณ
“บ้านผมอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวเราเดินไปคุยไปก็แล้วกัน แป๊ปเดียวก็ถึง”
เสกเดินไปหยิบหมวกปานามามาสวม แล้วเดินออกไปสมทบกับผู้ใหญ่ข้าว ทั้งสองเดินจากไป
เถ้าแก่หมูรีบวิ่งปราดออกมาจากหลังร้าน ยืนเกาหัวแกรก ๆ
“อีกแล้ว มีเรื่องกันแล้วก็ตีเนียนไม่จ่ายค่าเหล้า ค่านมเย็นอั๊วะกันหมดแล้ว อย่างนี้ก็เจ๊งล่ะสิ”
เถ้าแก่หมูส่ายหน้าก่อนเดินหายเข้าไปในร้าน
โปรดติดตามตอนต่อไป
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านตาหนังไทยแนวบู๊ภูธร ระเบิดภูเขา เผากระท่อมกันมาแล้ว ผมเลยคิดว่าถ้าผมเขียนเป็นนิยายโดยเดินตาม ‘ขนบ’ ที่หนังไทยแนวนี้มีอยู่มันจะเป็นอย่างไร
จึงเป็นที่มาของนิยายสั้นเรื่อง “บางบอกดิก” ที่มีต้นทางมาจากหนังไทยยุคสมบัติ เมทะนี พวก ทุ่งลุยลาย, ชุมแพ อะไรทำนองนั้น โดยเขียนไว้ตอนเดียวคือที่ท่านได้อ่านจบไป
ชื่อเรื่องก็คือเพี้ยนมาจาก Blockdit นั่นล่ะ
ใช้สถานที่เป็นชื่อเรือง เหมือน ชุมแพ, ทุ่งลุยลาย เหมือนหนังไทยสมัยก่อนนิยมเอามาตั้งชื่อหนัง
เป็นงานทดลองเขียน อยากให้ติ-ชมกันมา และจะได้รู้ด้วยว่าชอบไหม แต่ที่สำคัญคือ อยากให้ติชมเสนอแนะกันเข้ามานะครับ ได้เต็มที่เลย
ขอบคุณครับ
มูฟวี่
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: thaifilmreviews.com,
McKenna Cinephili Club

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา