Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Grey memory
•
ติดตาม
14 มี.ค. 2020 เวลา 11:32 • ปรัชญา
หายไปนาน กับภาระงานที่ยุ่งเหยิง
แอบคิดถึงวัยเด็ก ที่ไม่ต้องคิดอะไร
โชคดีที่หน่อยที่เกิดมาในครอบครัวที่พอมีพอใช้กับเค้า
ไม่ต้องขวนขวาย อดตาหลับขับตานอน ตื่นมาทำงานหามรุ่งหามค่ำ
คำพูดที่ได้ยินจากพ่อแม่ตลอดเวลา
ตอนนี้ หน้าที่ของลูกมีอย่างเดียว คือตั้งใจเรียนนะลูก
โตขึ้นจะได้มีการงานที่ดีเป็นเจ้าคนนายคน
โชคดีหน่อยที่เป็นเด็กที่อยู่ในร่องในรอย ไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทาง
เรียนห้องคิง มีสังคมที่ดี แข่งกันเรียน เครียด แต่ก็สนุก
ทุกอย่างที่ทำ เพราะหวังอนาคตที่ดีอย่างพ่อแม่หวัง
สุดท้าย จบมอปลาย ด้วยการสอบติดแพทย์
หลายๆคน จะชอบได้ยินคำพูดที่หลายๆคนพูดกับครอบครัวที่ลูกติดหมอว่า สบายแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว
จริงครับ ในแง่ความมั่นคง ฐานะทางสังคม
แค่เรียนปีแรกๆ ญาติๆก็เรียกแทนชื่อว่า หมอ ไปแล้ว
ลามไปถึงเพื่อนๆ ก็เรียกเราว่า หมอ
ที่ตลกคือ เรียกจนบางคน ลืมชื่อเล่นเรา 55
พ่อแม่ก็ภูมิใจ เราก็ภูมิใจที่เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่ได้
แต่เบื้องหลังความภาคภูมิใจนั้น
ชีวิตในรั้วมหาลัย มันช่างไม่สวยหรูเหมือนที่ใครว่ากัน
ปี1 กับการเรียนทุกสิ่งอย่างที่เคยเรียนในมอปลาย3ปี ที่ต้องเรียนให้หมดรวบในเวลาปีเดียว
สอบทีอ่านหนังสือตายกันไปข้าง
ปีถัดมา เริ่มเรียนวิชาที่เกี่ยวกับแพทย์มากขึ้น
ได้สัมผัสกับชีวิตที่ต้องเรียน และสอบสลับกันไปทุกสัปดาห์
แทบรากเลือด
ที่สำคัญ ในช่วงเวลาที่เรียนหนัก และสอบถี่ ความเครียดมากมายถาโถม
นานๆที นานมากๆ ถึงจะได้กลับบ้าน
เราเริ่มมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
เราเริ่มมีความรัก
เธอเป็นแพทย์เหมือนกัน แต่ไม่ได้เรียนที่เดียวกัน เป็นความสุขที่ได้เติมเต็มชีวิตที่หม่นหมองในช่วงนั้นเป็นอย่างดี
แต่ด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน และอะไรหลายอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจกันได้จริง
สิ่งที่มาเติมเต็ม กลับเป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้ชีวิตที่หม่นหมอง กลับมืดดำลงไปอีก
เราเริ่มตระหนักได้บางอย่าง
ชีวิตเรา ไม่สามารถคิดว่า ต้องเรียนดีเท่านั้น เพื่อมีชีวิตที่ดีได้ อีกต่อไป
ในชีวิต มีอุปสรรคอีกมากมายที่ต้องเผชิญ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ปลดล็อกครั้งสำคัญที่ทำให้mind setของผม เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
หลังจากนั้น ผมก็ตั้งใจเรียน แต่ใช้ชีวิตให้มากขึ้น
เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น
มันเป็นความสุขอีกแบบที่เกิดขึ้นในใจ ความรู้สึกกว้างไกลทางความคิด เรามองเห็นอะไรได้มากขึ้น
ความพยายาม ความรัก ความรู้สึก ความสมดุลในชีวิต
จนกระทั่งผมเรียนจบ และได้รับปริญญาใบแรกในชีวิต
ปริญญาใบนั้น เป็นสิ่งที่เตือนใจเราว่า ของจริงแล้วสินะ ที่เราต้องเจอ
เอาสิ ผ่านชีวิตมาตั้งเยอะ เราต้องสู้กับมันได้อยู่แล้ว
ชีวิตของ นายแพทย์ เริ่มต้นขึ้น
จำได้เลย ว่าวันแรก ผมเริ่มที่โรงพยาบาลใหญ่ของอำเภอหนึ่ง
ห้องฉุกเฉินวันนั้น วุ่นวายมาก
ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าต้องจัดการกับอะไรก่อนดี นั่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี ไม่พร้อมเหมือนรพใหญ่ๆในจังหวัด
นี่สินะ ของจริง
วันแรก ผมคิดจริงๆว่า เห้ยย มันขนาดนี้เลยหรอ เจอสถานการณ์จริง มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
จากที่มีอาจารย์ค่อยดู และคอยช่วยให้คำปรึกษา
มีปัญหา แค่บอกอาจารย์ อาจารย์ช่วยเคลีย
ตอนนี้ เราใหญ่สุด ในห้องฉุกเฉินนี้
มีอะไร เรานี่แหละนะ ที่ต้องรับผิดชอบ
จำได้เลย ว่าวันนั้นเคสหนักแค่ไหน
ทั้งอุบัติเหตุหมู่ ทั้งเส้นเลือดสมองแตกเฉียบพลัน ทั้งหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน มาพร้อมๆกันในคราวเดียว
บอกตรงๆ ไม่รู้ว่าต้องจัดการอันไหนก่อน ปกติให้ดูแลทีละเคส และคนช่วยหลายคน
เอาวะ!
ใครดูแย่สุด คนนั้นแหละ!
คิดแค่นั้นก็ลุยเลย ทำตามที่เคยเล่าเรียนมา จำได้บ้างไม่ได้บ้าง
"หมอคะ ใส่hard collarก่อนมั้ยคะ คนไข้ไม่รู้สึกตัวค่ะ"
"หมอคะ พี่ให้IVนะคะ คนไข้เสียเลือดมากค่ะ"
"หมอคับ คนนี้คลำpulseไม่ได้ครับ"
คุณที่อ่านมาถึงจุดนี้ คุณจินตนาการได้มั้ย
ว่ามันวุ่นวายแค่ไหน กดดันแค่ไหน
กับชีวิตของคนหลายคนที่อยู่ต่อหน้า และเราต้องเป็นหัวเรือหลักในการช่วยชีวิตพวกเขาเหล่านั้น
ในตอนสุดท้าย
ผมไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ทั้งหมด
1ในนั้น เสียชีวิต ขณะที่ผมกำลังปั๊มหัวใจให้อีกคน
นั่น เป็นคนที่เสียชีวิตในความรับผิดชอบของผมคนแรกในชีวิต
แม้ในเวลาที่ผ่านมาจะเคยเห็นคนเสียชีวิตมากี่คนแล้วก็ตาม
แต่นี่คือครั้งแรก ที่มันอยู่ในมือของผมเอง
ในใจตอนนั้น คิดแต่ว่า
เราทำดีที่สุดแล้ว
เคสมาเยอะขนาดนี้ จะดูทันหมดได้ไง
หรือเราแย่ เรามันดูไม่ละเอียด เรามันห่วย
ตีกันอยู่ในหัว
สุดท้าย มีมือมาแตะที่ไหล่เบาๆ
หมอ ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่มีหมอ พวกพี่คงงงเหมือนกัน ไม่เคยเจอเคสเยอะขนาดนี้
พี่พยาบาลนั่นเอง
พอจบเคส ผมต้องออกไปแจ้งอาการของผู้ป่วยให้ญาติแต่ละคนทราบ
ลูกคนปลอดภัยแล้วนะครับ
คุณพ่อคุณปลอดภัยแล้วนะครับ
เสียใจด้วยนะครับ...
สิ่งที่ผมคิด ผมคิดว่า สิ่งที่ผมกลัวจะรับอารมณ์ตอนนั้นไม่ได้ คือ การเห็นญาติผู้เสียชีวิต ร้องไห้ค่ำครวญต่อหน้าผม
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น หลังสิ้นคำ ญาติร้องไห้คร่ำครวญ แข้งขาอ่อนทรุดลง จนคนรอบข้างต้องช่วยกันพยุง
เสียใจด้วยจริงๆครับ
คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในใจ แต่ไม่อาจพูดออกมาอีก
เหมือนน้ำตามันเอ่อมา
ถ้าแค่พูดออกไปสักคำ มันคงทะลักออกมาแน่นอน
ผมหันหลังกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แต่ไม่ลืมที่จะบอกให้พี่พยาบาล แบ่งคนมาดูแลญาติที่เสียใจและทรุดลงไป
จิตผมตก เหมือนไม่มีเรี่ยวมีแรง รู้สึกเป็นหมอห่วย ที่โรคแค่นี้ก็ดูไม่ทัน พี่ๆเพื่อนๆบางคยเค้ายังทำทันเลย
ลงเวรคืนนั้น ผมนอนไม่หลับทั้งคืน
ตอนเช้า ไปราววอร์ด ตามปกติ
เจอญาติคนไข้ที่ช่วยชิวิตไว้เมื่อคืน
"คุณหมอ ป้าขอบคุณมากนะ เมื่อวานหมอใช่มั้ยที่ช่วยลุงไว้ "
"ใช่ครับป้า ลุงเป็นไงบ้างคับ"
ผมตรวจร่างกายลุง ลุงเป็นเส้นเลือดสมองตีบ ไม่ตื่นไม่ลืมตา แต่ยังหายใจ ใส่ท่อ
"ลุงก็ยังหลับอยู่ ตลอดแหละจ้า"
อีกคนที่ผมช่วยเป็นเคสอุบัติเหตุ กระดูกซี่โคร่งหัก ใส่ท่อระบายเลือด
ผมไปราวเคสเหล่านี้ทุกวัน
จิตผมก็ยังตก หม่นหมอง ยังคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น ถึงจะเบาลงบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนโลกสีเทาๆตลอดเวลา
ลุงคนนั้น ออกจากโรงพยาบาลไป อาการดีขึ้น แต่ก็ยังซึมๆ ยกแขนขาไม่ได้
กระทั่ง เวลาผ่านไป2-3สัปดาห์
ลุงคนนั้นมา ติดตามอาการตามนัด
ที่สำคัญ ลุงมาคนเดียว!
"อ้าว ! ลุง ลุงเดินได้แล้วหรอ"
"ก็ใช้ไม้เท้านี่ล่ะ พอเดินได้"
ผมแปลกใจมาก ตอนก่อนออกไปลุงแกยังนอนติดเตียงอยู่เลย
"แล้วป้าล่ะคับ ไม่มาด้วยหรอ"
"โอ้ย ป้าไปทำนา ไปเอาข้าว ไม่มีเวลามากับตาร้อกก"
ผมยิ้มเล็กๆ เข้าใจ ชาวไร่ชาวนา ชีวิตก็แบบนี้แหละ ดูแลปากท้องตัวเองแล้ว แต่เวลาคับขันก็เจียดเวลามาดูแลกันดี
"ตอนลุงตื่น ป้าแกเล่าให้ฟังนะ ป้าแกชมหมอใหญ่เลย หมอมาดูลุงทุกวันเช้าเย็น วันนั้นที่ช่วยลุง มีคนตายด้วยใช่มั้ย ป้าเห็นหมอแอบร้องไห้ด้วยล่ะ"
ผมอึ้งไปนิดนึง ป้าสังเกตด้วยหรอ
"ป้าแกชอบหมอมากก หมอใจดี แต่ก่อนไม่เคยเห็นหรอก เวลาใครตายหมอก็จะหน้านิ่งๆ เห็นหมอนี่แหละ ร้องไห้ให้คนตายด้วย 555"
แกพูดติดขำ ผมเริ่มอมยิ้มตามแก
ที่ยิ้ม ไม่ใช่อะไร ผมแค่รู้สึกว่า ที่ร้องไห้ตอนนั้น เพราะความไม่มืออาชีพ ไม่มีประสบการณ์
แต่มันกลับจับใจญาติผู้ป่วยได้
กลับเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยได้จริง
"นี่ลุงก็รอวันมาหาหมอเลยนะเนี่ย อยากเห็น หมอหน้าตายังไง โห รูปหล่องี้นี่เอง"
ผมเผลอยิ้มกว้าง
ไม่ใช่เพราะโดนชมว่าหล่อนะ (555)
แต่ลุง ปลดล็อกผมอีกครั้ง
ความสำเร็จบางอย่าง มันอยู่เบื้องหลังความล้มเหลว
สิ่งที่ผมเจอในครั้งนี้ ผมมืดดำกับการเผชิญความล้มเหลวในการที่มีคนไข้เสียชีวิตในมือ
แต่ผมกลับมาสว่างจ้าอีกครั้ง หลังได้เห็นอีกคนที่ผมได้ช่วยชีวิตไว้ แล้วเค้าชื่นชมในตัวเรา
ความผิดหวัง เศร้าโศก และรู้สึกผิด ไม่ใช่คำตอบ
คนเรามักจะคิดว่าตนเอง ดำมืดกว่าที่เป็น
กระทั่ง ได้ดำดิ่งลงสู่ความมืดขั้นหนึ่งแล้ว
หากโชคดี มีคนดึงขึ้นมา
ถึงจะรู้ว่า จริงๆแล้วที่ผ่านมา เราสว่างจ้ามากเพียงใด
เล่ามายืดยาว สุดท้ายผมแค่รู้สึกว่า ตนเองเคยดำดิ่งสู่ความรู้สึกดำมืดของตนเอง
แล้วได้คุณตาช่วยไว้
คุณตา ที่ได้รับแสงสว่างจากผมไปนั่นเอง
เพราะงั้น ทุกคนครับ
คนเราทุกคน มักมีช่วงเวลาที่เป็นทุกข์ และดำมืดเข้ามา
หรือซ่อนอยู่ในมุมมืดในใจที่ไหนสักแห่ง
แต่ไม่ว่ายังไง
แสงสว่างในใจทุกคนย่อมมีอยู่เสมอ
ไม่ว่ามันจะยังคงส่องสว่าง หรือดับมอดไปแล้ว
เมื่อมันเคยสว่าง มันย่อมมีเชื้อที่สามารถจุดติดได้เสมอ
ไม่มีวันที่ใครจะมืดมิดตลอดไป
แสงสว่างรออยู่เสมอ ขึ้นกับคุณจะมอง และเดินไปหามันมั้ย
ขอบคุณครับ
wish the light be with your mind
บันทึก
4
5
4
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย