14 มี.ค. 2020 เวลา 14:30 • ข่าว
Today Insight : เจาะลึกประเด็นน่าสนใจวันนี้
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
1. สหรัฐฯ ออกมาตอบโต้เรื่องที่จีนกล่าวหาเรื่องการนำเข้า Coronavirus ไปสู่จีน
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เรียกพบเอกอัครราชทูตจีนที่สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อประท้วงความเห็นของจีน ที่บอกว่า กองทัพสหรัฐฯ อาจจะเป็นผู้นำพา Coronavirus ไปสู่ Wuhan ซึ่งกำลังเป็นความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจของโลก
David Stillwell นักการทูตชั้นนำของสหรัฐอเมริกาประจำเอเชียตะวันออก ได้ส่งรายงานที่รุนแรงแก่เอกอัครราชทูตจีน Cui Tiankai
Cui Tiankai
ในการรายงานอ้างอิงถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ผู้ซึ่งไม่เปิดเผยตัวตนคนหนึ่ง กล่าวว่า "รัฐบาลจีนกำลังมองหาช่องทางที่จะเบี่ยงเบนคำวิจารณ์ของโลกในบทบาทที่ว่า จีนเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ไปทั่วโลก และไม่บอกกล่าวแก่ชาวโลก" นอกจากนั้นยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าราชทูตของจีน "มีพฤติกรรมปิดกั้นทางความคิดเป็นอย่างมาก"
David Stillwell
"การกระจายทฤษฎีสมคบร่วมคิดเป็นสิ่งที่อันตรายและไร้สาระ เราต้องการให้รัฐบาลเห็นว่าเราจะไม่ยอมทนอยู่เฉย เพื่อประโยชน์ของชาวจีนและโลกใบนี้"
Alyssa Farah โฆษกกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เขียนบน Twitter เมื่อวันศุกร์ว่า "พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เลือกใช้ทฤษฎีสมคบคิดเท็จและความไร้เหตุผลเกี่ยวกับที่มาของ COVID-19 เพื่อกล่าวโทษสหรัฐ #ChinaPropaganda" ซึ่งสถานทูตจีนไม่ได้ตอบสนองอะไรต่อเรื่องนี้
Alyssa Farah
ทรัมป์ถูกนักข่าวถามเกี่ยวกับประเด็นที่เจ้าหน้าที่ชาวจีนกล่าวหาสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่าทรัมป์ได้ปัดความกังวลออกไป โดยกล่าวว่า "ผมได้อ่านหัวข้อหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมต้องคุยหรือปรึกษากับสี จิ้นผิง"
เขาเรียกการระบาดครั้งนี้ว่า "Foreign Virus" หรือแปลเป็นไทยได้ว่า "ไวรัสต่างชาติ" ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในจีน และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "พวกเขารู้ว่ามันมาจากไหน พวกเราทั้งหมดก็รู้ว่ามันมาจากไหน"
จีนเคยถูกวิพากวิจารณ์ในเรื่องที่สั่งให้มีการตรวจสอบหมอจำนวนหนึ่ง ที่ออกมาเตือนถึงการแพร่ระบาดของ Coronavirus ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ซึ่งได้มีการปรับใช้มาตรการที่เข้มงวดในการปิดกั้นเมือง Wuhan และพื้นที่รอบ ๆ จังหวัด Hubei ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนกว่า 60 ล้านคน
Mike Pompeo รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้เห็นว่า การตอบสนองกับ Coronavirus ของสหรัฐฯ ถูกขัดขวางด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์" จากจีน
Mike Pompeo
2. ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศพร้อมอัดฉีดงบประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
การประกาศภาววะฉุกเฉินทั่วประเทศท่ามกลางการแพร่ระบาดไปทั่วโลกของ Coronavirus ได้เปิดช่องทางให้รัฐบาลสามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบได้มากขึ้น ทรัมป์กล่าวว่า "ระยะเวลา 8 สัปดาห์ต่อจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก"
Source : Reuters
การแพร่กระจายตัวของ Coronavirus ในขณะนี้ผุดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศในใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน
ธนาคารกลางพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่รัฐและท้องถิ่นกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญบางคนว่าเป็นมาตรการที่ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ในการตอบสนองต่อวิกฤติครั้งนี้
ขั้นตอนล่าสุดนี้เกิดขึ้น 2 วันหลังจากทรัมป์ประกาศปิดกั้นการเดินทางระหว่าง 26 ประเทศในยุโรป ขณะที่อังกฤษอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับการยกเว้น แต่ทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ถ่ายภาพที่สโมสรส่วนตัวของเขาใน Florida กับเจ้าหน้าที่ชาวบราซิล ที่มีผลการทดสอบ Coronavirus เป็นบวก แต่ทรัมป์ในวัย 73 ปีได้กล่าวว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะกักกันตัวเองแต่อย่างใด โดยสังเกตว่าเขาไม่มีอาการอะไร อย่างไรก็ตามเขากล่าวในภายหลังจากที่ถูกสื่อมวลชนกระหน่ำถามเรื่องนี้ ว่าเขาจะเข้ารับการทดสอบไวรัสอย่างเป็นทางการ
ดัชนีหุ้นหลักสหรัฐทั้งสามตัว ปรับขึ้นมากกว่า 9% ในวันศุกร์ซึ่งดีดตัวขึ้นหลังจากการเทขายที่รุนแรงที่สุดใน Wall Street ตั้งแต่ปี 2530 แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ประมาณ 20%
Mike Ryan ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุดด้านภาวะฉุกเฉินของ WHO กล่าวว่า ระยะห่างทางสังคมเป็น "วิธีที่มีประสิทธิภาพและได้รับการทดสอบแล้ว" ว่าสามารถชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็น "ยาครอบจักรวาล" ที่จะหยุดการแพร่ระบาดครั้งนี้
Mike Ryan
Ryan กล่าวเพิ่มเติมว่า "มาตรควบคุมการท่องเที่ยวด้วยตนเอง จะไม่สามารถช่วยปกป้องรัฐแต่ละรัฐได้เลย"
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังหนุนตลาดเงิน ทำให้ราคาเงินสูงขึ้น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อค่าเงินในหลาย ๆ ภูมิภาค รวมไปถึงต้นทุนการกู้ยืมในระยะสั้น
ประเทศจีนซึ่งเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจาก Coronavirus ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้ในวันศุกร์ที่ผ่านมาทางการจีนได้ประกาศลดปริมาณทุนสำรองของธนาคารเป็นครั้งที่สองในปีนี้
ตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของ FED ในการอัดฉีดเงิน 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ Treasury bond ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการเร่งสภาพคล่องของตลาดที่ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี
ธนาคารกลางของญี่ปุ่นให้คำมั่นสัญญาที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นระยะเวลา 5-10 ปีมูลค่า 200,000 ล้านเยน (1.9 พันล้านดอลลาร์) และยังอัดฉีดเงินอีก 1.5 ล้านล้านเยนสำหรับเงินกู้ระยะเวลา 2 สัปดาห์
สหภาพยุโรปเสนอโครงการลงทุน 3.7 หมื่นล้านยูโร (4.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหนุนเศรษฐกิจทีได้รับผลกระทบจาก Coronavirus
ข้อสังเกต : นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นมันพุ่งขึ้น แต่จงจำไว้ว่าราคาที่พุ่งขึ้นครั้งนี้มันมาจากการอัดฉีดล้วน ๆ ในขณะที่ผู้คนยังไม่คลายความกังวลเรื่อง Coronavirus ลง สภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์จริงไม่ได้คึกคักอย่างในตลาด และสิ่งที่อยากให้คิดต่อไปคือ จะเห็นได้ว่าเงินกู้พวกนี้เป็นระยะสั้นทั้งหมด สิ่งที่น่ากลัวคือเมื่อกู้ไปแล้ว ด้วยจำนวนเงินมากขนาดนั้น ไม่สามารถใช้คืนได้ในระยะสั้นแน่นอน แล้วอะไรจะตามมา ? ฝากให้คิดต่อครับ
3. สำนักข่าว CNN รายงานว่าอังกฤษอาจรู้อะไรเกี่ยวกับ Coronavirus ที่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปไม่รู้ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษกล่าวว่าควรสร้าง "ภูมิคุ้มกันหมู่"
มีการพาดหัวข่าวจาก CNN ว่า "What does Britain know about coronavirus that the rest of Europe doesn't?"
แปลเป็นไทยได้ว่า "ชาวอังกฤษรู้อะไรเกี่ยวกับ Coronavirus ที่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปไม่รู้"
มีบางอย่างที่ย้อนแย้งกันในคำกล่าวของ Boris Johnson เกี่ยวกับมาตรการที่จะตอบสนองต่อ Coronavirus ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ท่ามกลางการโจมตีโดยหัวหน้านักวิทยาศาสตร์และที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประเทศ ต่อการกระทำของรัฐบาลที่มีการ "เลื่อน" แผนการที่จะต่อสู้กับการแพร่ระบาดออกไป และยังได้เตือนชาวอังกฤษว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพที่เลวร้ายที่สุดในยุคหนึ่ง
เมื่อต้องเผชิญกับความคาดหวังทางสังคมที่ร้ายแรงเช่นนี้ อังกฤษจะใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวดเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบหรือไม่?
คำตอบก็คือไม่ ! อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้
รัฐบาลอังกฤษได้กล่าวซ้ำ ๆ หลายครั้ง ว่าพวกเขา "ไม่เชื่อ" ว่าการห้ามชุมนุมใหญ่ รวมไปถึงการปิดสถานที่สำคัญต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของ Coronavirus เช่น การปิดโรงเรียนในอิตาลี, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และสเปน
คำแนะนำล่าสุดสำหรับชาวอังกฤษคือการกักตัวเป็นเวลา 7 วัน หากพวกเขาเริ่มมีอาการหรืออุณหภูมิสูงขึ้น และเพิ่มการรักษาสุขอนามัยที่เข้มงวดให้กับตัวเอง เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และล้างให้สะอาด
อย่างไรก็ตาม Boris Johnson กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก รัฐบาลกล่าวในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าอาจมีการปรับใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อห้ามกิจกรรมขนาดใหญ่
รัฐมนตรีกำลังทำงานร่วมกับหัวหน้าที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เพื่อวางแผนที่จะระงับกิจกรรมสาธารณะหลายประเภท รวมไปถึงการชุมนุมใหญ่ ซึ่งอาจจะเริ่มปรับใช้ในสัปดาห์หน้า
เหตุผลที่อังกฤษเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการ "ระยะห่างทางสังคม" ดูเหมือนจะยิ่งฝังรากลึกให้กับคำทำนายของรัฐบาลที่ว่า "การแพรระบาดจะยังไม่ไปถึงจุดสูงสุดจนกว่าจะผ่านไป 14 สัปดาห์หลังจากนี้ และผู้คนจะไม่เต็มใจอย่างรุนแรงที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา เพื่อยึดติดกับมาตรการใหม่เป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน ดังนั้นมันจึงเป็นปัญหาเล็กน้อยในการเพิ่มมาตรการป้องกันขึ้นไปอีกในขณะนี้"
สิ่งที่น่าสนในคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการปกครองอ้างว่าการตัดสินใจของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด โดยกล่าวว่า "วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) สำหรับ Coronavirus ในระยะยาว"
Herd Immunity
ซึ่งหมายความว่า "ในระยะสั้น" เจ้าหน้าที่ต้องการให้ชาวอังกฤษบางคนได้รับเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดเชื้อ ไม่ได้มีอาการที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรมหรือย่ำแย่ลง (โดยรวมแล้ววิธีนี้เปรียบเทียบได้กับการฉีดวัคซีน ถือว่ามาแปลกทีเดียวครับอังกฤษ)
และแน่นอนว่าวิธีการนี้ได้มีการถกเถียงกันในวงการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวหาว่า Boris Johnson ล้มเหลวที่จะเข้าใจความรุนแรงของสถานการณ์ ในขณะที่อีกกลุ่มกลับยกย่องรัฐบาลที่ปฏิเสธที่จะยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากทั่วทุกทวีป ในการกำจัดการเคลื่อนไหวของสาธารณชน (พูดได้ว่าคนอังกฤษเองก็หัวรั้นครับ)
นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกล่าวว่า พวกเขาสังเกตเห็นว่าโดยปกติแล้วไวรัสจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งจะป่วยอยู่เพียง 5 วันเท่านั้น แต่สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่อ่อนแอ เชื้อโรคจะเข้าสู่ระยะที่สองหลังจากนั้น ทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงไปจนถึงเสียชีวิต
ความหวังของผู้เชี่ยวชาญจากรัฐบาลคือแผนการใหม่ของอังกฤษที่จะช่วยผลักดันให้จำนวนผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ (โคตร Hardcore)
แต่สมาชิกทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนไม่มั่นใจในแนวทางของรัฐบาล แพทย์ในแนวหน้าของหน่วยผู้ป่วยฉุกเฉินได้เตือนเกี่ยวกับการขาดเครื่องช่วยหายใจที่อาจเกิดขึ้น ตามที่เห็นในอิตาลีและจีนเมื่อมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกล่าวว่าหากประชาชนเจ็บป่วยเป็นจำนวนจะทำให้ประเทศเข้าสู่สภาวะขาดแคลนแรงงาน
นักวิทยาศาสตร์บางคนให้การสนับสนุนมาตรการของรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า "ฉันเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าฉันไม่ใช่แฟนตัวยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Boris Johnson แต่ฉันค่อนข้างประทับใจที่เขาไม่เหมือนกับผู้นำทางการเมืองคนอื่น ๆ ที่โค้งคำนับต่อแรงกดดันต่าง ๆ ที่เราไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะรู้ว่ามันจะได้ผลลัพธ์แตกต่างกันหรือไม่ แต่ Boris Johnson กำลังฟังหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน"
Dr.Clare Wenham ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนโยบายสุขภาพระดับโลกที่ London School of Economics บอกกับ CNN ว่า "เขาไม่ได้ทำแบบทรัมป์ที่สั่งให้ปิดพรมแดน ซึ่งเรารู้ว่ามันจะไม่ได้ผล แต่เขากำลังใช้วิธีการที่ค่อนข้างวัดได้ในตอนนี้ แต่ใช่มันเป็นแค่การพนัน”
เรารู้ว่าตัวอย่างของการปิดโรงเรียนนั้นใช้ได้ดีสำหรับ "ไข้หวัดใหญ่" เพราะเด็ก ๆ เป็น Super speader แต่เรายังไม่รู้ว่ามันจริงสำหรับ Coronavirus หรือไม่"
"มันเป็นการพนันทางการเมืองหากพวกเขาทำผิด ตอนนี้ทุกประเทศที่ใช้มาตรการปิดโรงเรียน จำกัดการเดินทางของมวลชน รวมถึงการชุมนุมใหญ่ และได้เห็นว่าอัตราการลดลง ในขณะที่อัตราการติดเชื้อในอังกฤษกำลังเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามขอย้ำว่ามันเป็นการพนันทางการเมือง"
ข้อสังเกต : อะไรทำให้อังกฤษมั่นใจขนาดนั้น และทำไมอังกฤษถึงเป็นประเทศที่โดนยกเว้นในการสั่งห้ามเดินทางระหว่างอเมริกากับยุโรป
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา