15 มี.ค. 2020 เวลา 00:28 • บันเทิง
' วิศวกรน้อยใจก็เป็น '
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พุทธศักราช 2563
เวลา 11.10 น.
จุดรับ : บ้านเดี่ยวแถววังหิน
จุดส่ง : โรงแรมบนถนนสุขุมวิท
เมื่อผมกำลังจะชลอเพื่อหยุดรถ เพราะจุดสิ้นหมุดแจ้งทางแผนที่นำทาง มีน้องผู้ชายเดินออกมาจากบ้าน มุ่งตรงมาที่รถผมทันที และเปิดประตูหลังเพื่อขึ้นมานั่งที่เบาะหลังฝั่งตรงข้ามคนขับ
"ไปโรงแรม....ครับ"
"ได้ครับผม"
ขณะที่ผมกดรับผู้โดยสารผมเห็นแล้วว่า กูเกิ้ลไม่ให้ขึ้นทางด่วน ผมเริ่มหาจุดกลับรถ ทันทีที่ผมเห็นช่องพอให้กลับรถได้ ผมสังเกตุบ้านหลังหนึ่งซึ่งแปลกมาก ๆเพราะพื้นที่ด้านข้างกำแพงบ้านหลังนั้นติดกับซอยที่ผมจะกลับรถ
คุณผู้อ่านครับ เค้าทำรั้วตาข่ายกั้นสูงประมาณ 1.5 เมตร เพื่อป้องกันต้นไม้ที่ปลูกบนพื้นที่ว่างจากกำแพงบ้านกับขอบถนนของหมู่บ้าน พอจะนึกภาพออกมั๊ยครับ
"บ้านหลังนี้แปลกดีแฮะ!! ผมเข้าหมู่บ้านมานับไม่ถ้วน เค้าทำไว้กันสุนัขมาคุ้ยเหรอครับ?"
"ใช่ครับ"
"ดีนะครับอาชีพนี้ ได้เจออะไรใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ ประสบการณ์หลากหลาย"
"จริงครับ"
ช่วงที่น้องผู้ชายคนนี้กำลังพูดผมก็กำลังจะเลี้ยวออกจากซอย หลังจากขับมาได้สักพัก ผมก็นึกถึงเรื่องราวเมื่อเช้า จึงเอ่ยขึ้น
เมื่อเช้าผมรับแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นมา แม่เค้าเหนื่อยหอบเลยทีเดียวหลังจากที่ขึ้นมาบนรถทั้งคู่
"ลูกจำไว้นะ ถ้ารู้ว่าจะเต้นพรุ่งนี้ ให้หาชุดเตรียมไว้เลย แม่เหนื่อยนะ รีบมาหาตอนใกล้ๆจะใช้
เสร็จจากเต้น ก็เรียนภาษาจีน เรียนคณิตศาสตร์ และเรียนโยคะ ภาษาจีนเค้าคิดชั่วโมงละ 700 บาท เราช้าไป 7 นาทีนะ เราเสียเปรียบ"
แล้วผมก็บอกกับน้องผู้ชายคนนี้ว่า
"ผมได้เห็นวิธีการสอนลูกของแต่ละครอบครัวก็ตอนที่ได้มาขับแกร็บนี่แหละครับหลากหลายดี"
"เป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกทัศน์เลยนะครับ" น้องผู้ชายเอ่ยกับผม
แล้วผมก็คุยกันไปยาวเลย จนได้เนื้อความว่า
1
พ่อของน้องผู้ชายคนนี้เป็นสถาปนิกคุณแม่เป็นหมอ น้องเค้าเลือกวิศวกรเป็นอันดับที่ 4 ของการเอ็นทรานส์ ส่วนอันดับที่ 1ถึง3 เป็นคณะแพทย์ศาสตร์ เพราะคุณแม่ก็แอบเชียร์ให้เป็นหมอ แต่คุณพ่อเคยเอ่ยกับน้องเค้าว่า
"พ่อดูทรงล่ะเราไม่น่าจะเป็นหมอได้"
สุดท้ายมาติดที่วิศวกรจริงๆครับ
หลังจากที่คุยกันลงถึงรายละเอียดงานจริงๆ ผมพอจะจับประเด็นได้ว่าน้องคนนี้มีแรงบันดาลใจมากกว่าเงิน เค้ามีอะไรที่ผมนึกไม่ถึงจริงๆ
"ผมรู้สึกน้อยใจทำไมวิศวกรอย่างเราไม่สามารถช่วยคนได้อย่างหมอรึไง" คำพูดที่ผมรู้สึกว่าต้องค้นหาความในใจน้องคนนี้
คุณผู้อ่านเห็นเสาไฟในภาพที่ผมใช้ประกอบบทความนี้นะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง...
"มีความสุขกับงานที่ทำอยู่มั๊ยครับ?"
"ผมมีความสุขครับ ถ้าผมต้องตื่นเช้าขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าไม่อยากไปทำงาน วันนั้นคงน่าเบื่อทั้งวันแน่ๆ"
น้องเค้าเป็นวิศวกรที่เริ่มต้นจากการเป็นเซลล์ก่อนเลย หัวหน้าหรือเจ้าของบริษัทให้เริ่มต้นด้วยหน้าที่นี้ น้องเค้าทำงานที่บริษัทนี้มา 12 ปีแล้ว
และนี่...คือ คำพูดของที่มาของเสาไฟในภาพ
"พี่จะรู้ได้ยังไงว่า ไฟฟ้าต้นนั้นไม่มีไฟรั่ว ผมไม่กล้าจับนะ!!"
บริษัทผมทำเกี่ยวกับสายดิน เพื่อแก้ปัญหา กรณีที่มีไฟรั่วให้ไหลลงดินโดยผู้ใช้ไฟไม่เกิดอันตราย ผมเดินทางไปสัมนาทั่วโลก ประเทศอื่นๆนั้น เค้าติดตั้งอุปกรณ์สายดินให้เลยเวลาเดินสายไฟมาจากหน่วยงานรัฐบาล
ผมขอย้อนถึงคำพูดของน้องคนนี้ที่กล่าวข้างต้นว่า
"ผมรู้สึกน้อยใจทำไมวิศวกรอย่างผมไม่สามารถช่วยคนได้เหมือนกับหมอ"
แบบนี้นะ หลังจากผมได้ยินประโยคนี้ผมถามว่า
ใครปลูกฝังหรือคุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหนทำไมถึงรู้สึกอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ผมเสริมไปว่า
"ผมสัมผัสได้ว่า การป้องกันคนถูกไฟช็อตจากไฟรั่วมันคือการช่วยชีวิตคนหนึ่งคน น้องรู้สึกอย่างนั้นจริงๆใช่มั๊ย?"
"ส่งมอบความปลอดภัยให้กับคน" นี่เป็นคำพูดของคนที่ผมกำลังสนทนาด้วย
ความคิดที่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มันมีด้วยกันสองส่วนครับ
1.พ่อแม่ผมมักจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
2.ผมได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย และ เจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท
"ผมทำงานกับบริษัทนี้มา 12 ปี เจ้านายผมเป็นคนเก่งและมีทัศนวิสัยทัศน์ที่ดี ผมเรียนรู้มาพอสมควร แต่ข้อเสียคือ เวลาแกโมโห สิงห์สา ลาสัตว์จะมาทั้งป่าเลย 'ผมเข้าใจเค้านะ' มันไม่ง่ายเลยที่จะนำพาองค์กรเติบโตมาถึงปัจจุบัน"
"น้องครับแล้วบ้านที่มีเซฟทีคัทก็ไม่จำเป็นต้องลงสายดินใช่มั๊ยครับ?"
"ถึงอย่างไรก็ต้องมีครับ ถ้ามีเซฟทีคัทและมีสายดินการทำงานจะมีประสิทธิภาพมาก
คนไทยยังมีความรู้เรื่องนี้น้อยไปนิดนึงครับ"
"พี่ขอชื่นชมเราจริงๆนะ ประสบการณ์ขนาดนี้และเป็นงานที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากความตายได้ น้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และช่วยส่งต่อความรู้นี้แก่รุ่นน้องที่ทำงานในบริษัทให้เค้ามีความรู้ความสามารถ
เพราะชีวิตมนุษย์ 1 คนมีค่ามากเหลือเกิน
ยิ่งถ้าทำให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นในการติดตั้งสายดินที่ได้มาตรฐาน อัตราการตายจากสายไฟรั่วเป็น 0% ได้จะยิ่งดีมากๆเลย"
พอดี๊ พอดี เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง น้องเค้ากดติดตามเพจผมเรียบร้อย ผมบอกว่าผมชอบนำเรื่องที่คุยมาเล่าผ่านตัวอักษรลงในเพจเพื่อเป็นความรู้แก่คนทั่วไป
1
แล้วเราก็ต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน ผมขอบคุณที่ได้รู้เรื่องที่มีประโยชน์และน้องเค้าขอบคุณที่ผมมาส่ง
ท้ายที่สุดนี้ น้องคนนี้เป็นถึงวิศวกรที่มีความสามารถ เพียงแค่น้อยใจว่าหน้าที่ตนเองทำไมถึงไม่สามารถช่วยคนไทยได้มากกว่านี้
ถ้า...วันหนึ่งบ้านเมืองเห็นความสำคัญของสายดิน ซึ่งเค้ามีส่วนร่วมให้ทุกคนตระหนักได้มากขึ้น นั่นแสดงว่าความเป็นวิศวกรของเค้ามีส่วนช่วยให้คนไม่ตายจากการถูกไฟดูด
วิศวกรก็ช่วยคนได้เหมือนกับคุณหมอเช่นกัน
เรื่องเล่าหลังพวงมาลัย
โฆษณา