17 มี.ค. 2020 เวลา 02:51 • ประวัติศาสตร์
[ย้อนเวลาหามาเล่า มหกรรมการฆ่าตัวตายหมู่]
เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายหมู่กันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการฆ่าตัวตายเพื่อบูชาซาตาน หรือ การฆ่าตัวตายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เชื่อว่าเคสในวันนี้ก็สยองและน่าเศร้าไม่น้อยไปกว่าครั้งไหนๆ เพราะมีผู้เสียชีวิตกว่า 909 คน โดยการชักจูงด้วยคนเพียงคนเดียวที่ชื่อว่า "จิม โจนส์"
พอพูดถึงชื่อจิม โจนส์เชื่อว่าหลายคนอาจจะอ๋อขึ้นมาทีเดียวถึงวีรกรรมที่เจ้าตัวก่อขึ้นในปี 1978 แต่ก็เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา เพราะฉะนั้นเราต้องย้อนกลับไปสักนิดนึงถึงประวัติของชายผู้นี้ จิม โจนส์ เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1931 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้มีบิดาเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกทั้งพ่อของเขายังเป็นสมาชิกของลัทธิเหยียดสีผิว คู คลักส์ แคลน
ในวัยเด็กเจ้าตัวชอบอ่านและศึกษาเรื่องของบุคคลดังต่างๆไม่ว่าจะเป็นสตาร์ลิน , มหาตมา คานธี , ฮิทเลอร์ พร้อมทั้งวิเคราะห์ทั้งจุดอ่อน จุดแข็งของแต่ละคน อีกอย่างนึงที่เจ้าตัวเชื่อเป็นอย่างมากคือเรื่อง “ยูโทเปีย” หรือ “ดินแดนในอุดมคติ” ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน
นั่นทำให้เจ้าตัวมีความเชื่อแตกต่างกับผู้เป็นพ่ออย่างสิ้นเชิงและเริ่มมีความที่จะสร้างโลกที่ทำให้ผู้คนเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะชาติพันธ์ สีิผิว หรือ อื่นใดก็ตาม
ซึ่งนั่นทำให้เจ้าตัวเริ่มศึกษาเรื่องศาสนาไปพร้อมกับความคิดเรื่องยูโทเปีย และเรื่องต่างๆบ่มเพาะมาเรื่อยๆ
และก็เพราะเรื่องศาสนานี่เองที่ทำให้เจ้าตัวเริ่มหันมาเอาดีด้านนี้ บวกกับพรสวรรค์ในการเทศน์ ทำให้โจนส์เติบโตก้าวหน้าในด้านนี้อย่างรวดเร็ว เขาได้เป็นศาสนาจารย์ของโบสถ์ ต่อมาเมื่อเขามีสาวกที่มีแนวคิดเดียวกับเขาเยอะมากขึ้น เขาจึงคิดตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมาเอง
ในปี 1955 เขาก่อตั้งลัทธิ โบสถ์แห่งมวลชนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่คำสอน ต่อต้านการเหยียดสีผิว และ สอนเรื่องโลกในอุดมคติ ซึ่งเรื่องนี้มันดันไปตรงใจกับกลุ่มคนผิวสีที่ตอนนั้นเปรียบดังพลเมืองชั้นสองของประเทศเป็นอย่างมาก และทำให้ลัทธิของเจ้าตัวโด่งดังพุ่งกระฉูดเป็นอย่างมากมีสาวกมาขอเข้าร่วมมากมาย
1
ต่อมาในช่วงปี 1967 ย้ายโบสท์ไปซานฟรานซิสโก
แต่โบสถ์ของเขาถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงทางการเงิน และมีการทำร้ายร่างกาย และมีการทารุณผู้เยาว์ นั่นทำให้เขาเริ่มหวาดระแวงทางรัฐ เขาคิดจึงย้ายโบสถ์ไปสถานที่นอกประเทศห่างไกลจากสายตารัฐ
นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดการเรี่ยไรบริจาคเกิดขึ้นเพื่อที่จะนำเงินไปซื้อที่ดินรกร้างแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้เพื่อสร้างเมืองในอุดมคติของเขาที่ชื่อว่า โจนส์ทาวน์ โดยมีผู้อยู่อาศัยเป็นเหล่าผู้ศรัทธาในลัทธิ และตัวจิม โจนส์ นั้นก็กลายเป็นผู้ปกครองเมือง
หลักการของเมืองนี้ก็ง่ายๆคือ ทุกคนในเมืองต้องทำงานอย่างเท่ากันและแบ่งปันผลประโยชน์เท่ากัน โดยไม่มีการเอาเปรียบแต่อย่างใด
ซึ่งหากดูจากภายนอกก็ดูเหมือนสมาชิกทุกคนในเมืองใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ความจริงแล้วทุกคนต้องทำงานอย่างหนัก การแบ่งปันอาหารเป็นไปอย่างจำกัดจำเขี่ย ผิดกับ จิม โจนส์ ที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย รวมทั้งมีการมั่วเซ็กส์และยาเสพติดอีกด้วย
อีกทั้งพอปกครองไปเรื่อยๆโลกที่เคยฝันไว้ก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนไป เพราะ เริ่มมีกฎให้ชายและหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต ห้ามผู้คนแสดงความรักต่อกันแม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม ผู้ที่คิดหลบหนีจากเมืองจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
จนเรื่องดังกล่าวไปถึงหูของรัฐบาลอเมริกา ร้อนไปถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงส่งสมาชิกสภาคองเกรสที่ชื่อว่า ลีโอ ไรอัน เข้าไปตรวจสอบเมืองดังกล่าว
ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี1978 ไรอันพร้อมกับกลุ่มผู้สื่อข่าว และผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ ได้เดินทางถึง โจนส์ทาวน์ ในช่วงหัวค่ำทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ได้รับการต้อนรับแสนอบอุ่นจากคณะของโจนส์
ทุกคนในหมู่บ้านรวมตัวกันร้องเพลง แสดงให้เห็นว่ามีความสุขแค่ไหนในเมืองนี้ จนไรอันที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐถึงกับออกปากชื่นชม แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือการจัดฉากล้วนๆ มีหนึ่งในสาวกพยายามส่งกระดาษโน้ตให้กับผู้สื่อข่าวว่าให้ช่วยพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ด้วย นั่นทำให้าไรอัน และคณะรู้สึกถึงสิ่งไม่ชอบมาพากลของที่นี่
เช้าวันรุ่งขึ้นทางผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ชาวบ้านถึงเรื่องความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน หลายคนบอกมีความสุขดี แต่เรื่องราวเลวร้ายได้เริ่มขึ้นเมื่อมีครอบครัวหนึ่งแสดงตัวกับผู้สื่อข่าวว่าให้พาพวกเขาออกไปจากที่นี่ด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ จิม โจนส์ แล้วโชว์กระดาษโน้ต ที่มีชาวบ้านส่งให้เมื่อคืนว่าต้องการออกจากที่นี่ มันหมายความว่าอย่างไร จิมโจนส์ ได้แต่บอกคนพวกนั้นโกหก ที่นี่ใครจะเข้าจะออกก็ได้ ทุกคนมีอิสระภาพ หลังจากจบการสัมภาษณ์นี้ ทำให้เหล่าสาวกหลายคนเริ่มแสดงตัวว่าอยากจะไปจากเมืองนี้ด้วย ทำให้เมืองกลายเป็นจลาจลย่อมๆ
เมื่อมีภัยมาถึงตัวขนาดนี้หากไม่รีบจัดการมันคงจะเป็นดังไฟลามทุ่งอย่างแน่นอนว่าแล้วท่านผู้ปกครองก็ได้ส่งจดหมายเตือนไปยังไรอันและคณะ ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายมีคำสั่งให้ออกจากเมืองเดี๋ยวนี้ แต่ด้วยความผิดปกติเช่นนี้มีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาเพื่อหาความจริงจะยอมแพ้
ไรอันปฎิเสธที่จะกลับไปยังสหรัฐอเมริกาพร้อมประกาศจะอยู่ที่นี่ต่อ ทันใดนั้นเองได้มีสาวกคนหนึ่งชื่อ ดอน สไลน์ ถือมีดปรี่หมายเข้ามาหมายจะแทงสมาชิกสภา ฐานที่เข้ามาวุ่นวายเมืองอันเป็นที่รักของพวกเขา ผู้คนช่วยกันขัดขวางทำให้ เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้เขายุติการเยี่ยมชมเมืองนี้และรีบแจ้นกลับไปยังแผ่นดินเกิด
แต่มันคงจะช้าไปเสียแล้ว เพราะการกลับไปคราวนี้ของไรอันเปรียบเสมือนภัยร้ายแรงของลัทธินี้ต้องเผชิญหากปล่อยให้เจ้าตัวกลับไปแบบมีลมหายใจ ว่าแล้วจิม โจนส์ ก็ส่งสมุนมือดีไปจัดการคณะตรวจสอบของไรอันที่สนามบิน และกราดยิงเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิตกว่าครึ่ง
โชคดีที่นักบินผู้เห็นเหตุการณ์สามารถแจ้งเรื่องดังกล่าวไปทางวิทยุการบินได้ทัน ทำให้โลกได้รับรู้ความบ้าคลั่งของเมืองนี้เป็นที่เรียบร้อย
ตอนแรกที่สั่งให้ฆ่าก็คงไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่ว่ากลัวความลับอันดำมืดจะรั่วไหล แตผ่านไปสักพักคงตระหนักได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันจะเลวร้ายขนาดไหน เพราะการที่ฆ่าตัวแทนของอเมริกาเช่นนี้ย่อมหมายความว่า ลัทธิของเขากำลังประกาศเป็นศัตรูกับประเทศมหาอำนาจของโลก เจ้าตัวจึงได้ประกาศเรียกชาวเมืองให้มารวมตัวกัน
พร้อมประกาศให้สาวกได้รู้ว่า "ไรอัน" เสียชีวิตแล้ว และอีกไม่นานอเมริกาจะต้องส่งกองกำลังเข้ามาเพื่อจัดการเราทุกคนเป็นแน่แท้
ทางออกเดียวของพวกเราคือต้องทำพิธี "ไวท์ไนท์" หรือพิธีการฆ่าตัวตายหมู่ ด้วยวิธีการดื่มน้ำองุ่นผสมไซยาไนด์ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความทรมาน และจะทำให้พวกเขาได้ไปอยู่ในดินแดนอีกแห่งที่ผาสุขกว่าเดิม
“หากเราอยู่ร่วมกันแบบสงบสุขไม่ได้ เราควรจากโลกนี้ไปแบบสงบสุข”
"อย่ากลัวที่จะตาย หากความตายนั้นจะพาเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า” และบอกให้เหล่าสาวกรีบดื่มยาพิษซะ เจ้าตัวประกาศอย่างกึกก้อง
จากนั้นก็ให้ผู้เป็นพ่อและแม่จัดการกรอกยาพิษลูกตัวเองเสีย แต่เหล่าสาวกหารู้ไม่ว่าการตายเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ตายในทันที แต่การตายด้วยยาพิษนั้นจะทำให้ผู้กระทำต้องพบกับความทรมานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย เรียกได้ว่าการโดนยิงอาจจะแค่นัดเดียวแล้วตายเลย แต่การตายแบบนี้มันทรมานยิ่งกว่านั้นเสียอีก
หลายชีวิตจากไปด้วยความทรมาน หลายครอบครัวนอนเสียชีวิตด้วยกัน โอบกอดและจับมือกัน บางคนตายในขณะอุ้มลูก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็น และ คิดตามเป็นอย่างมาก
แต่ตัวโจนส์นั้นคงรู้ดีว่าการตายเช่นนี้มันทรมานขนาดไหน แม้กระทั่งครั้งสุดท้ายก่อนจะตายเจ้าตัวยังทำการหลอกคนในลัทธิเป็นครั้งสุดท้าย เพราะศพของโจนส์นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีรอยกระสุนที่หัวหนึ่งนัด หาใช่การกินยาพิษฆ่าตัวตาย
จากเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 909 คน นับว่าเป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกใบนี้
.
.
ผมไม่อยากจะนึกจริงๆว่าถ้าหากยุคนั้นมีโซเชี่ยลมีเดีย ผู้เสียชีวิตจะมีมากขนาดไหน ภาวนาอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปไวด้วยเถอะ
ปล.ถ้าชอบโพสนี้อย่าลืมกด Like โพสนี้ กดแชร์ให้คนอื่นได้อ่านกัน และอย่าลืมกดถูกใจเพจพุงพลุ้ยคุยไปเรื่อยด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
Ref :
โฆษณา