19 มี.ค. 2020 เวลา 03:45
สาเหตุที่ทำให้เรายังไปไม่ถึงเป้าหมาย
1
cr. pinterest
1.ตั้งเป้าหมายและวางตารางกิจกรรมไว้แน่นเกินไป
.
หลายคนตั้งเป้าหมายและวางแผนที่จะทำในแต่ละวันไว้อย่างแน่นเอี้ยด Fix ตารางเวลาของตัวเอง จนไม่เหลือเวลาไว้ให้ทำงานชิ้นอื่นที่เข้ามาแทรกได้เลย หรือไม่วางแผนเวลาให้มีความยืดหยุ่นบ้าง ทำให้เกิดภาวะเครียดและกดดันตัวเองมากไป
พฤติกรรมเหล่านี้มักเกิดกับคนที่อยู่ในช่วงอายุ 30 หรือเป็นคน GEN Y ซึ่งต้องการประสบความสำเร็จแบบ Fast track และอยากเป็นนายตัวเอง ดังนั้น คนใน Gen นี้มีโอกาสที่จะเกิดภาวะเครียด และกดดันตัวเองเนื่องจากต้องการให้ประสบความสำเร็จไวๆนั่นเอง จึงวางแผนและเป้าหมายไว้อย่างเต็มที่ และใส่ความหวังให้กับมันมากจนเกินไป
.
ดังนั้น เราควรปรับแผนให้ยืดหยุ่นบ้าง และถ้าแผนที่วางไว้ไม่ได้ผล อย่ายึดติดกับแผนการนั้นที่เราคิดว่าดีแล้ว ให้ลองปรับแผนการใหม่ ลองผิดลองถูก และเรียนรู้มันไปเรื่อยๆ จนเจอแผนที่เหมาะสมที่สุดกับเป้าหมายของเรา
1
.
2. หลงลืมไปว่างานแต่ละงานความสำคัญไม่เท่ากัน
.
แน่นอนว่า งานแต่ละงานย่อมมีความสำคัญไม่เท่านั้น ดังนั้นเราควรเลือกทำงานที่สำคัญที่สุดก่อน และควรจะมีวิธีการจัดลำดับความสำคัญได้อย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ใส่ต้นทุนด้านเวลาลงไปในงานนั้น
.
นั่นแปลว่า งานแต่ละงาน ควรจะมีต้นทุนเวลาที่ต่างกัน งานไหนสำคัญและเร่งด่วน ควรจะหยิบมาทำเป็นอันดับแรก และงานไหนไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ก็ให้หยิบไปไว้ในลำดับท้ายๆ
.
เทคนิคง่ายๆ ในการบริหารจัดการก็คือ เขียน To do list ไว้ในแต่ละวันไม่เกิน 3-5 อย่างและลงมือทำมัน เพื่อจะได้มีทิศทางในการดำเนินการต่างๆ และงานของเราก็จะเสร็จตรงตามเป้าหมายได้ไม่ยาก
.
3.ไม่หาเวลาพักผ่อน
.
การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ บางคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ดูแลสุขภาพหรือไม่เห็นความสำคัญของการพักผ่อน ซึ่งเป็นความคิดที่อันตรายมาก เพราะงานจะดีได้นั่นย่อมต้องการอาหารสมองที่ไปหล่อเลี้ยงความคิด และไอเดียของเรา รวมถึงสภาพร่างกายและจิตใจของเราด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่เราป่วย ต่อให้อยากทำงานมากแค่ไหน คุณก็จะฝ่าฝันมันไปด้วยความยากลำบาก
.
ดังนั้น อย่ามัวแต่ทำงาน จนไม่หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง เพราะสุดท้ายมันจะทำให้เกิดภาวะเครียด เบื่อหน่าย จนถึงเกิด burnout Syndrome และความเจ็บป่วยของร่างกายก็จะเริ่มถามหา
.
4.ใช้อารมณ์ ไม่ได้ใช้เหตุผล
.
เมื่อเราทำงานมากโอกาสที่เราจะผิดพลาดก็มากตามไปด้วย เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “คนที่ไม่เคยล้มเหลว คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” นั่นก็น่าจะจริง เพราะยิ่งเราทำงานมาก โอกาสที่เราจะผิดพลาดมันก็มากเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่า เวลาเราเจอความผิดพลาด เราต้องเลือกที่จะเรียนรู้ไปข้างหน้า และพยายามไม่ให้มันเกิดซ้ำอีก
.
หลายคนเวลาเจอปัญหา คิดไม่ตก หรือเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกไม่โอเค ก็จะเผลอใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งอารมณ์เป็นเครื่องมือที่แย่ที่สุดในการแก้ปัญหา และไม่ควรหยิบมันมาใช้ เพราะมันจะมีแต่ “พัง” กับ “พัง”
ทุกคนคงเคยเจอความพังจากชีวิตจริงกันมาแล้ว พังจากความสัมพันธ์ที่ใช้อารมณ์ พังจากการทำธุรกิจ พังจากงานประจำ เพราะว่าเราใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา
จำไว้ว่า อาวุธที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุดคือ “สติ” และ “หลักเหตุผล” เมื่อเราใช้เครื่องมือ 2 เครื่องมือนี้แก้ไขปัญหา เชื่อเถอะว่า ไม่มีปัญหาไหนที่เราจะแก้ไม่ได้
.
ที่พูดก็ดูเหมือนง่าย แต่สติมันไม่ได้มาง่ายขนาดนั้น ถ้าเราไม่ฝึกฝน อยากเป็นคนที่มีสติ ต้องลองไปฝึกนั่งสมาธิ และให้เวลากับมันมากพอที่จะฝึกฝน
ถ้าหากตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่ จ้องตากับมัน และไม่หยิบอารมณ์มาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา
.
5.ขาดมิตรที่ดี
.
เคยได้ยินคำว่า เราจะเป็นค่าเฉลี่ยของคนที่อยู่รอบตัวเรา 6 คนมั้ย ลองสังเกตตัวเองดูก็ได้ ว่าเรามีนิสัย หรือมีพฤติกรรมอะไรที่เหมือนกับคนใกล้ชิดเรารึเปล่า
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรายังไปไม่ถึงเป้าหมาย ก็เพราะว่าเรายังขาดแรงกระตุ้น ขาดแรงจูงใจ ขาดมิตรที่ดีที่สามารถให้มุมมอง แง่คิดแบบคนที่มีทัศนคติเชิงบวก ( Growth mindset)
ดังนั้น ถ้าเราอยากเป็นคนที่เก่ง อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เราควรเอาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆกับคนเหล่านี้ และเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ
.
การเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ดี เพื่อนที่ดี จะช่วยให้เรามีมุมมองที่ดีมากขึ้น รวมถึงเราจะปรับพฤติกรรมตัวเองให้มีนิสัยอย่างคนที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นอีกด้วย
โฆษณา