23 มี.ค. 2020 เวลา 10:00 • ประวัติศาสตร์
กงเกวียนกำเกวียน 2 ราชวงศ์เกาหลี: เมื่อโครยอจบสิ้น และ การกำเนิดโชซอน: ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น
การกระทำที่วังกอนได้ทำลงไปนั้น ลูกหลานของเขาก็ได้รับผลที่ไม่ต่างกันมากนัก โดยในปลายราชวงศ์โครยอ อาณาจักรนั้นตกอยู่ในความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจใหญ่ระหว่างราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลกับราชวงศ์หมิงของชาวจีน ราชวงศ์หยวนมหาอำนาจเก่าแก่ที่ในขณะนั้นมีสภาพที่อ่อนแอ จนทำให้ถูกราชวงศ์หมิงของชาวฮั่นขับไล่ได้สำเร็จ และกลายมาเป็นขั้วอำนาจใหม่แทน ทำให้เกิดความขัดแย้งของกลุ่มขุนนางที่ฝักใฝ่ใน 2 มหาอำนาจอย่างชัดเจนในราชสำนัก
โดยในราชสำนักกลุ่มผู้มีอำนาจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางหัวโบราณที่ฝักใฝ่ราชวงศ์หยวน ในขณะที่พระเจ้าคงมิน (King Gongmin of Goryeo) ผู้มีนโยบายต่อต้านราชวงศ์หยวนเป็นผู้นำ แต่ว่าอำนาจของกษัตริย์ที่อ่อนแอมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของชาวมองโกลร่วมเกือบ 180 ปี มีหรือพระองค์จสู้กลุ่มขุนนางที่สะสมอำนาจจนเหนือกว่ากษัตริย์ได้ พระองค์ถูก ชเวมันแซง (Choe Man-saeng) ฮงริว (Hong Ryun) ) ขุนนางฝ่ายมองโกล ลอบปลงพระชนม์ แล้วยกพระราชโอรสของพระองค์ที่มีชาติกำเนิดไม่ชัดเจน(ถูกสงสัยว่าเป็นลูกของพระกิกษุชินตง ผู้เป็นพระสหายพระเจ้าคงมิน) ที่มีพระนามว่าพระเจ้าอูขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมีลีอินอิม (Yi In-im) ขุนนางฝ่ายมองโกลเป็นผู้กุมอำนาจ
ถึงแม้พระองค์จะปฏิรูปได้ไม่สำเร็จแต่พระองค์สามารถปลดแอกจากการปกครองโครยอออกจากชาวมองโกลได้สำเร็จในปี 1364 (พ.ศ.1908) รวมถึงสามารถกู้เอา 2 ดินแดนที่เคยถูกพวกมองโกลนยึดไป ได้แก่ มณฑลซังซ็องคืน (Ssangseong Prefectures) ในปี 1356 และ มณฑลทยองคืนในปี 1370 ได้สำเร็จ ผลงานในด้านศึกสงครามจะไม่สามารถสำเร็จได้ หากขาด 2 แม่ทัพผู้เก่งกาจ 2 คน คือ แม่ทัพลีซองเก (Yi song gye) และ แม่ทัพชเวยัง (Choe Yeong)
แม่ทัพทั้ง 2 คน ถือว่าได้เป็นคนที่มีความสำคัญของอาณาจักรแห่งนี้ เพราะฝีมือการรบของ 2 แม่ทัพทำให้อาณาจักรที่อ่อนแอมาเป็นระยะเวลานานยังคงดำรงอยู่ได้อย่างปลอดภัยจากข้าศึกศัตรูที่ได้มาบุกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น กบฏโจรโผกผ้าแดง (Red Turban Rebellion) จากจีนที่ได้บุกมาถึง 2 ครั้ง ในปี 1359 (พ.ศ.1903) และในปี 1361(พ.ศ.1904) โดยครั้งนี้สามารถยึดเมืองหลวงของอาณาจักรได้ และสงครามโจรสลัดญี่ปุ่น (Wokou) ส่งผลให้แม่ทัพทั้ง 2 คน กลายมาเป็นผู้มีอำนาจบารมี เป็นที่รักของประชาชน และในขณะเดียวกันก็เป็นที่เกลียดชังต่อเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังกุมอำนาจในราชสำนักอยู่ และมักพยายามหาช่องทางในการโค่นล้มนายพลทั้ง 2 คน จนกระทั่งปี 1388 (พ.ศ.1932) นายพลทั้งสองก็สามารถหาช่องทางในการกำจัดชเวมันแซง ,ฮงริว และ ลีอินอิม จึงได้ทำการรัฐประการ ยึดอำนาจจากขุนนางฝ่ายพลเรือน มากปกครองเอง ภายใต้การนำแม่ทัพชเวยัง(Choe Yeong) โดยมีนายพลลีซองเก (Yi song gye) เป็นผู้ช่วย การรัฐประหารเป็นไปได้โดยง่าย เนื่องจากทั้ง 2 แม่ทัพได้กุมอำนาจทางการทหารทั่วอาณาจักรไว้หมดแล้ว
จากจุดนี้เองทำให้ขั้วอำนาจในราชสำนักแตกออกเป็น 2 ฝ่ายโดยชัดเจนโดยมีแม่ทัพทั้ง2คนเป็นศูนย์กลางการแย่งชิงอำนาจ ดังเช่นสุภาษิตโบราณเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทำให้ประวัติศาสตร์เกาหลีในช่วงนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำรอยเหมือนที่เกิดขึ้นในอาณาจักรแทบง เป็นยุคการต่อสู้ของระว่าง 2 ขั้วอำนาจใหญ่ในราชสำนัก โดยผู้แพ้ถูกใส่ความจากผู้ชนะ จนถูกมองว่าชั่วร้ายไปอย่างไม่มีเหตุผล โดยบันทึกที่ถูกเขียนผู้ชนะได้ระบุว่า ในปีเดียวกันนั้นเองราชวงศ์หมิงได้ส่งทูตมาข่มขู่ให้ราชวงศ์โครยอจำยอมเป็นเมืองขึ้น แต่รัฐบาลโครยอภายใต้แม่ทัพ ชเวยัง กลับไม่เห็นด้วยสั่งให้แม่ทัพลีซองแกยกทัพไปตีมณฑลเหลียวตง (Liaodong) เพื่อขจัดอิทธิพลจีนออกจากโครยอให้สิ้นซาก คำสั่งของแม่ทัพ ชเวยัง นั้นดูแปลกประหลาดและไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก การเอาทหารประเทศเล็กๆไปบุกตีประเทศใหญ่อย่างจีน เหมือนเอามดไปสู้กับช้าง นั่นเท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ คนเจนศึกอย่างแม่ทัพชเวยัง ไม่น่าสั่งออกมาได้ แต่หากมองมุมในแง่ทางการเมือง แม่ทัพชเวยังต้องการกำกัดอิทธิพลของนายพลลีซองเก (โดยการให้แม่ทัพไปรบศึกโดยที่ไม่มีทางชนะได้ พอแพ้ก็จะใช้ขออ้างนี้ประหารชีวิต มันไม่สมเหตุผลเอาซะเลย นำคนจำนวนมากไปตายเพื่อกำจัดแม่ทัพเพียงคนเดียวแถมมันไปกระตุกหนวดพญามังกรอย่างราชวงศ์หมิงอีก ผลกระทบที่ตามมามีแต่เสียกับเสียเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นประวัติศาสตร์ก็ถูกเขียนโดยผู้ชนะ แม่ทัพลีซองเก (Yi song gye) แม่ทัพลีซองเกก็ได้ยกทัพไปตามคำสั่งแต่ว่าพอยกทัพมาถึงเกาะวีฮวา(Wihwa Island) บนแม่น้ำยาลู (Yalu River) ก็ได้ตัดสินใจยกกลับมารัฐประหาร ด้วยเหตุผลว่า ราชวงศ์หมิงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ดังนั้นอาณาจักรเล็กๆไม่ควรเข้าไปตี จะทำให้ผู้คนล้มตายโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้แม่ทัพลีที่ครอบครองกองทัพเกือบทั้งหมดได้ยกทัพกลับมารัฐประหารและได้รับชัยชนะในที่สุด แม่ทัพลีซองเกได้ใช้ข้ออ้างการตัดสินใจที่ผิดพลาดของแม่ทัพชเวยัง จะนำพาผู้คนล้มตายกันอย่างไร้ประโยชน์ ประหารชีวิตแม่ทัพชเวยัง รวมถึงปลดพระเจ้าอูในฐานะผู้อนุมัติคำสั่งนี้ แล้วตั้งพระเจ้าชาง (King Chang of Goryeo) พระราชโอรสของพระเจ้าอูขึ้นครองราชย์เป็นหุ่นเชิด
แม่ทัพลีซองเกในขณะนั้นได้กลายมาเป็นผู้กุมอำนาจปกครองสูงสุดอย่างแท้จริง เพราะ นายพลลีซองเกมีพรรคพวกจำนวนมากมาย รวมถึงเป็นผู้ควบคุมกองทัพทั้งหมดในอาณาจักรนี้ และเป็นที่รักของประชาชน ทำให้มีอำนาจเหนือยิ่งกว่ากษัตริย์โครยอเสียอีก นายพลลีซองเกได้ใช้อำนาจที่มีปลดพระเจ้าชาง (King Chang) ในอีก1 ปีให้หลังพร้อมกับประหาร 2 พ่อลูกในฐานะเชื้อพระวงศ์ไม่แท้ แล้วตั้งเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งนาม ว่าเป็น พระเจ้าคงยัง (King Gongyang) ในฐานะหุ่นเชิดอีกพระองค์ นี่ก็เป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เคารพราชวงศ์ และในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจบารมีของแม่ทัพที่มีมากกว่าผู้ใดในอาณาจักรแห่งนี้ เพื่อกดดันแกมบังคับให้ขุนนางโครยอจำนวนมากให้หันมาสวามิภักดีต่อนายพลลีแทน แต่ถึงกระนั้นก็มีขุนนางบางส่วนที่ยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์โครยออยู่นำโดย จอง มงจู (Jeong Mongju) ขุนนางผู้ที่เคยเป็นพรรคพวกของนายพลลี แต่ก็มาถึงจุดแตกหักในเรื่องของความจงรักภักดีต่อราชวงศ์เก่าในภายหลัง ต่อมาจองมงจูก็ถูกลอบฆ่าตามคำสั่งของนายพลลีซองเกในปี 1392 (พ.ศ.1936) เมื่อขุนนางใหญ่ผู้ภักดีคนสุดท้ายได้ตายลงแล้ว อาณาจักรโครยอก็ได้ถึงคราวล่มสลายลง นายพลลีซองเกได้ใช้ข้ออ้างเรื่องหลักอาณัติสวรรค์ (ความเชื่อเรื่องสวรรค์ได้มอบอำนาจให้ตระกูลหนึ่งปกครองแผ่นดิน แต่ถ้าตระกูลนั้นปกครองไม่ดีสวรรค์ก็จะมีสิทธิ์ริบคืนและมอบให้คนใหม่) ล้มราชวงศ์โครยอที่ปกครองมานานกว่า 474 และได้ปราบดาภิเษกตน ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์นามว่าพระเจ้าแทโจแห่งอาณาจักรโชซอน (Josean) ต้นตระกูลพระเอกของซีรี่ย์ Kingdom นั่นเอง
หลังจากที่ราชวงศ์โชซอน ตั้งมาได้เพียง 2ปี เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เก่าก็ถูกสั่งฆ่าล้างตระกูลทั้งหมดเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม แต่ก็มีบางส่วนที่สามารถหนีรอดไปได้ นับได้ว่าเป็นการจบสิ้นตระกูลที่ได้อำนาจมาจากรัฐประหาร และ ทรยศต่อผู้มีพระคุณ ทำให้คนดีๆที่มีความจงรักภักดีล้วนถูกฆ่า จนไม่มีใครมาอุ้มชูราชวงศ์ และสุดท้ายก็ถูกกำจัดทิ้ง ดั่งที่วังกอนได้ฆ่ากุงเย ถึงแม้วังกอนจะไม่ได้รับผลการกระทำ แต่ลูกหลานของเขาก็เป็นผู้รับผลกรรมนั้นแทน จนสุดท้ายก็ได้ถูกฆ่าล้างตระกูลในที่สุด
โฆษณา