24 มี.ค. 2020 เวลา 02:23 • ธุรกิจ
ADVANC สัญญาณเริ่มดี !?
มีลุ้นปัจจัยบวก “Work from home”
สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ก็ได้เพิ่มขึ้นกันแบบไม่เว้นแต่ละวันกันเลยทีเดียว และแน่นอนว่ามันกำลังส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจในชนิดที่หลายๆคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเมื่อมีการประกาศ Lock down กรุงเทพมหานครฯออกมา ก็ยิ่งทำให้ชาวกรุงเทพนั้นเก็บอยู่ที่บ้านกันมากขึ้น
เมื่อคนเราไม่ได้พบหน้ากัน แต่งานต้องเดินต่อ ตอนนี้หลายๆบริษัทจึงได้เริ่มมีการสั่งให้พนักงาน “Work from home” หรือทำงานอยู่ที่บ้านกันเยอะขึ้น และเชื่อว่าน่าจะมากขึ้นไปอีก
เมื่อ “การสื่อสาร” คือสิ่งสำคัญ วันนี้เราจะพาไปดูภาพรวมของ ADVANC กัน
- รายได้และกำไรเติบโตจากพ.ศ. 2561 อยู่ที่ 5.3% และ 4.6%
- ฐานลูกค้าของ AIS Fibre เติบโตขี้น 42% เป็น 1 ล้านราย
- มี ARPU หรือรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 533 บาทในส่วนของธุรกิจอินเตอร์เน็ต
- Work from home จะทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มีมากขึ้นเพื่อรับ-ส่งข้อมูล
- ADVANC เป็นผู้ประกอบการเจ้าแรกที่ปล่อยแพ็กเกจ Work from home
- การสื่อสารถือเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ “น้อย” หากเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ
ดังนั้นการที่ทางบริษัทได้ตื่นตัวและมีนโยบายให้ Work from home เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในครั้งนี้นั้นเรียกได้ว่าอุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ตบ้านก็เป็นฝ่ายที่ได้รับผลบวกกันไปเต็มๆ
โดยเฉพาะ ADVANC ที่ถือว่าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอีกทั้งราคาก็ยังได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังในเรื่องของสถานะการณ์ของเศรษฐกิจในไทยและการแข่งขันในอุตสาหกรรม
ใครที่สนใจจะเข้าลงทุนก็ขอให้ไปศึกษาและหาจังหวะกันได้ ถือเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่เป็น Defensive stock หรือหุ้นหลบภัยในยามวิกฤติเช่นนี้
กับ
ADVANC
หุ้น ที่สัญญาณเริ่มดี !?
ยับไปอีกหนึ่ง
วิเคราะห์หุ้น MAJOR หลังปิดโรงหนังทั่วประเทศ 14 วัน
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อก่อนเทรนด์การเลือก “โรงหนัง” เพื่อดูภาพยนตร์นั้นจะเป็นคนละแบบกับในปัจจุบัน เพราะหนังบางเรื่อง ก็จะเข้าแค่เฉพาะบางโรงหนังแตกต่างกันไป
ไม่เหมือนกับปัจจุบันนี้ เพราะถ้าคิดจะไปดูหนังแล้วละก็ ที่แรกที่คนจะนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้น “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” โรงหนังที่มีอยู่แทบจะทุกพื้นที่
บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป หรือ MAJOR ถือเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ของไทย ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 70% ในประเทศไทย โดยโรงหนังในรูปแบบซีนีเพล็กซ์ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2538
รายได้หลักของ MAJOR นอกจากธุรกิจหลักคือโรงภาพยนตร์แล้ว MAJOR ยังทำธุรกิจอื่นๆอีกด้วย โดยมีสัดส่วนรายได้มาจาก
- ธุรกิจโรงภาพยนตร์ 76%
- ธุรกิจสื่อโฆษณา 14%
- ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 4%
- ธุรกิจพื้นที่เช่า 4%
- ธุรกิจสื่อภาพยนตร์ 2%
หลังจากวันอังคารที่ผ่านมาได้มีการประกาศปิดกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับสำหรับสถานที่ให้บริการต่างๆในกรุงเทพมหานคร หลังจากที่ปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในบ้านเรา
และการปิดกรุงเทพฯในครั้งนี้ก็จะมีผลทั้งหมด 14 วัน เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมเลยทีเดียว
งานนี้ MAJOR หุ้นเจ้าของโรงหนังอันดับ 1 ของไทยเราก็เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงแม้ว่ารายได้จากการเปิดให้บริการจะหายไป แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “ต้นทุน” หลายๆอย่างในการดำเนินกิจการก็จะหายไปด้วยเช่น
- ต้นทุนค่าน้ำค่าไฟ
- ต้นทุนค่าเช่าหนัง
- ต้นทุนค่าเช่าพื้นที่
ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าเมื่อปิดตัวลงก็จะไม่ต้องจ่ายบางอย่าง และที่สำคัญคือสัญญาเช่าของทาง MAJOR กว่า 70% จะมีกฎการจ่ายค่าเช่าคล้ายๆกับดิวตี้ฟรี คือจะเป็นการแชร์รายได้ให้ (Revenue Sharing) กับทางห้างเพื่อเป็นค่าเช่า
ดังนั้นถ้าโดนสั่งปิดก็หมายความว่า MAJOR จะไม่มีรายได้ = ไม่ต้องแชร์รายได้เป็นค่าเช่าให้กับห้าง แต่ถึงยังไงก็ยังมีสัญญาเช่าอีก 30% ที่ต้องไปเจรจาและก็ยังมีค่าจ้างพนักงาน, ค่าเสื่อมเป็นรายจ่ายอยู่เช่นกัน
แต่การสั่งปิดครั้งนี้น่าจะเป็นผลดีกับทาง MAJOR เพราะถ้าหาก Covid-19 ยังแพร่ระบาดอยู่แบบนี้ ถึงเปิดไปยอดผู้ใช้บริการก็คงจะลดลงไปมาก ดังนั้นใครที่สนใจหุ้นตัวนี้อยู่ก็ลองๆเอาประเด็นพวกนี้ไปขยายความและศึกษาต่อกันได้
ผู้สนับสนุน
สนใจเปิดพอร์ท หุ้น TFEX SBL BLOCKTRADE กับโบรคเกอร์ KTBST
ค่าธรรมเนียมเรทพิเศษ
พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย
- ทีมงานมืออาชีพคอยให้บริการ
- โปรแกรม EFIN//ASPEN
- โปรแกรม SUPPORT อื่นๆเช่น MT4//MODEL TRADE//KTBST SMART และอื่นอีกมากมาย
กรอกรายละเอียดได้เลย 👇
โฆษณา