28 มี.ค. 2020 เวลา 08:55 • กีฬา
นี่คือซีรีส์ขนาดยาว เรื่องโศกนาฏกรรมมิวนิค ที่วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าแบ็กกราวน์ตั้งแต่แรก ถึงความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคนั้น ไปจนถึงวันที่เกิดเหตุเครื่องบินลื่นไถลรันเวย์ และ Aftermath สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นี่คือ PART 1
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 บรรดา สโมสรฟุตบอลในอังกฤษ ที่หยุดพักลีกมาถึง 6 ปีเพื่อหนีสงคราม ก็เริ่มต้นนับหนึ่งสร้างทีมกันอีกครั้ง
เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดมา 34 ปีแล้ว ดังนั้นเมื่อลีกเริ่มต้นกันใหม่ พวกเขาจึงหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะยกระดับทีมขึ้นมา จากเดิมที่วนเวียนไปมาระหว่างดิวิชั่น 1 กับ ดิวิชั่น 2 คราวนี้ขอเป็นทีมลุ้นแชมป์กับเขาบ้างสักที
ทีมปีศาจแดงประกาศแต่งตั้งแมตต์ บัสบี้ กุนซือคนหนุ่มวัย 36 ปี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ หวังว่าไอเดียล้ำๆของบัสบี้จะเข้ามาเปลี่ยนแมนฯยูไนเต็ดให้ดีขึ้น
บัสบี้ทำทีมได้ "มีทรง" มากๆ ซีซั่นแรกของบัสบี้ ในฤดูกาล 1946-47 เขาพาแมนฯยู จบอันดับ 2 ของตาราง มีแต้มตามหลังแชมป์ลิเวอร์พูลแค่ 1 คะแนนเท่านั้น
5 ปีแรกของบัสบี้ จบอันดับ 2 ของตารางถึง 4 ฤดูกาล และได้ถ้วยแชมป์เอฟเอคัพไป 1 ครั้งนั่นทำให้ผู้บริหารทีมยังมองว่าผลงานดูดีอยู่ และให้โอกาสต่อไปในฤดูกาลที่ 6 ซีซั่น 1951-52 ซึ่งครั้งนี้เอง ที่แมนฯยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จ
จากทีมที่ดูไร้พิษสงในช่วงก่อนสงครามโลก พอมีแมตต์ บัสบี้เข้ามาแมนฯยูไนเต็ดก็แกร่งขึ้นชัดเจน ในฤดูกาล 1955-56 ก็คว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 2 และ ตามด้วยสมัยที่ 3 ในซีซั่นถัดมา (1956-57)
1
นักเตะที่บัสบี้ปั้นขึ้นมา มีทั้งบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ,เดวิด เพ็กก์, ทอมมี่ เทย์เลอร์, เรย์ วู้ด ,บิล โฟกส์ และเดนนิส ไวโอเล็ต แต่ละคนจากที่ไม่เคยมีใครรู้จัก ก็ก้าวมาเป็นนักเตะฝีเท้าระดับประเทศได้อย่างสง่างาม
สำหรับบัสบี้ การพาแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์ลีกถึง 3 สมัย ในสายตาคนทั่วๆไป ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว แต่เจ้าตัวไม่ต้องการแค่นั้น บัสบี้ประกาศว่าความฝันสูงสุดของเขา คือพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชุดนี้ คว้าแชมป์ยุโรป หรือยูโรเปี้ยนคัพ ให้ได้สักครั้ง
หลังจากได้แชมป์ลีก 2 สมัยติด แฟนๆแมนฯยูไนเต็ด ก็เริ่มฝันเหมือนแมตต์ บัสบี้ นั่นคือมองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ
กล่าวคือคู่ต่อกรในประเทศไม่มีแล้ว ทีมปีศาจแดงตบเรียบมา 2 ปีติดกันแล้ว ดังนั้นได้เวลาที่แมนฯยู จะไปแสดงความยอดเยี่ยมให้ชาติอื่นในยุโรปได้เห็น
บรรยากาศของแมนฯยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1957-58 จึงโฟกัสที่เกมยุโรปเป็นหลัก คือเมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าเป็นเกมยูโรเปี้ยนคัพ ที่เตะในโอลด์แทรฟฟอร์ด จะมีคนดูทะลักจนล้นสนามเสมอ ขณะที่ในเกมเยือน ยุคนั้นการเดินทางของแฟนๆ ยังทำได้ยากอยู่ ก็จะมีบรรดานักข่าวนับสิบชีวิต เดินทางไปทำข่าวผลการแข่งขันที่ต่างแดน เอามาเขียนให้แฟนๆในประเทศได้อ่านกัน
หนังสือพิมพ์วันที่แมนฯยูไนเต็ดแข่งเกมยุโรป จะขายดีมากๆ คือใครๆก็อยากรู้ว่า ทีมปีศาจแดงทีมนี้ จะดีพอเป็นอันดับ 1 ของยุโรปได้หรือไม่
เส้นทางของแมนฯยูไนเต็ด ในเกมยุโรปรอบคัดเลือก พบกับแชมร็อค โรเวอร์ส จากไอร์แลนด์ ก่อนจะเอาชนะได้สบายๆ รวมสองนัด 9-2
จากนั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เจอกับ ดุคล่า ปราก จากเชโกสโลวะเกีย เลกแรกชนะ 3-0 เลกสองแพ้ 1-0 รวมสองนัดชนะ 3-1 เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอเรดสตาร์ เบลเกรด จากยูโกสลาเวีย
เลกแรกที่เจอกับเรดสตาร์ เบลเกรด เล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แมนฯยู ชนะได้ 2-1 ได้ประตูจากบ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ เอ็ดเวิร์ด โคลแมน ก่อนจะต้องไปเล่นเลกสองที่เบลเกรด ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1958
จุดสำคัญในการไปเยือนเบลเกรดนั้น แมนฯยูไนเต็ดตัดสินใจเช่าเครื่องบินแบบเหมาลำไป
สาเหตุเพราะแมนฯยู มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่แข่งไปก่อนหน้านี้ โดยเกมนั้นพวกเขาต้องไปเยือนดุคล่า ปรากของเชโกสโลวะเกีย วันที่ 4 ธันวาคม 1957 จากนั้นต้องบินกลับมาเพื่อเล่นกับเบอร์มิงแฮม ในเกมลีก วันที่ 7 ธันวาคม 1957 ซึ่งตามกฎของสมาคมฟุตบอลอังกฤษขณะนั้น สโมสรไหนก็ตามที่ไปแข่งรายการยุโรป ต้องกลับมาถึงอังกฤษก่อนบอลลีกจะเตะภายใน 24 ชั่วโมงไม่งั้นจะปรับแพ้
2
พอแข่งกับดุคล่า ปรากเสร็จ เข้ารอบแล้วเรียบร้อย พวกเขาเดินทางกลับอังกฤษ โดยแมนฯยูไนเต็ดขึ้นสายการบินพาณิชย์ โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่อัมสเตอร์ดัม ก่อนบินกลับมายังลอนดอน
ปรากฏว่าพอไปถึงอัมสเตอร์ดัมแล้ว ทัศนวิสัยมีหมอกลงจัด เครื่องไม่พร้อมขึ้น ซึ่งฝั่งแมนฯยูไนเต็ดเอง ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะมันคือสายการบินพาณิชย์ เขาก็ต้องทำตามกระบวนการอย่างถูกต้อง ทีมปีศาจแดงมีเวลาอีกแค่ 1 วัน ก่อนจะถึงเดดไลน์ ถ้าเข้าอังกฤษไม่ทัน ก็โดนปรับแพ้
นั่นทำให้สโมสร ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการให้ทั้งทีม นั่งรถไฟจากอัมสเตอร์ดัม มาที่เมือง ฮุก ออฟ ฮอลแลนด์ เพื่อต่อเรือข้ามช่องแคบอังกฤษ ไปยังเมืองฮาร์วิช ซึ่งพวกเขาเหยียบแผ่นดินอังกฤษ ก่อนถึงเดดไลน์ 24 ชั่วโมง แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าฉิวเฉียดและเกือบโดนปรับแพ้มาก
นั่นทำให้ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แมนฯยูไนเต็ดจึงมองว่า การเช่าเครื่องบินเหมาลำ น่าจะยืดหยุ่นได้ดีกว่า คือถ้าเป็นแบบเดิม แล้วเครื่องไม่สามารถขึ้นได้ ทางแมนฯยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของสายการบินทั้งหมด
แต่เครื่องบินเช่า มันสะดวกกว่ากันมาก อย่างเช่นถ้ามีหมอกลงหนา ก็อาจรอแค่ 1-2 ชั่วโมง พออากาศดีขึ้นก็สามารถเอาเครื่องขึ้นได้ตามปกติ
แมนฯยูไนเต็ด ตัดสินใจเช่าเครื่องบินใบพัดคู่ จากสายการบินบริติชยูโรเปี้ยน แอร์เวย์ส (BEA) ซึ่งทางสายการบินก็จัดเตรียมนักบินระดับคุณภาพให้สองคน คือเจมส์ เธน และ เคนเน็ธ เรย์เมนต์ ซึ่งทั้งคู่เคยเป็นกัปตันเครื่องบินของกองทัพอากาศมาแล้ว
กัปตันเจมส์ เธน
ขณะที่แอร์โฮสเตส ในไฟลต์นี้มี 2 คน คือ มาร์กาเร็ต เบลลิส และ โรสแมรี่ เชเวอร์ตัน ส่วนสจ๊วร์ตมี 1 คน คือทอม เคเบิ้ล ซึ่งในกรณีของเคเบิ้ล เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงขอแลกตารางบินกับเพื่อน เพื่อมาช่วยบริการบรรดานักเตะโดยเฉพาะ เพราะความฝันของเขาคืออยากใกล้ชิดกับไอดอลในดวงใจ และนี่คือโอกาสทองจริงๆ
เครื่องบินที่แมนฯยูไนเต็ดเช่ามานั้น ถ้าไม่นับที่นั่งของ กัปตันแล้ว ก็มีที่นั่งเหลือทั้งหมด 47 ที่นั่ง โดยนอกจากจะแบ่งโควต้าที่นั่งให้ นักเตะ นักข่าว และสตาฟฟ์โค้ชแล้ว ยังมีโควต้าที่นั่งของผู้บริหารสโมสร สตาฟฟ์ และสปอนเซอร์สโมสรด้วย เกมนี้เจอเรด สตาร์ เบลเกรดนัดนี้เป็นเกมใหญ่ จริงๆใครก็อยากไปดูทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงวันเดินทาง 3 วัน ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้น เมื่อบอร์ดบริหารคนสำคัญจอร์จ วิทเทเกอร์ เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยการไหลตาย นั่นทำให้บอร์ดบริหารที่เหลืออีก 3 คน บิล เพเทอร์บริดจ์, อลัน กิ๊บสัน และ ฮาโรลด์ ฮาร์ดแมน ต้องไปร่วมงานศพ และไม่สามารถบินไปเบลเกรดด้วยได้ เช่นเดียวกับสตาฟฟ์สโมสร และ สปอนเซอร์ ก็ต้องไปร่วมงานศพของวิทเทเกอร์เช่นกัน ดังนั้น บนเครื่องบินจึงมีที่นั่งเหลือว่างจำนวนมาก
เมื่อเห็นว่ามีที่ว่างบนเครื่องบิน สโมสรจึงเชิญ วิลลี่ ซาตินอฟฟ์ นักธุรกิจคนดังที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแมนฯยูไนเต็ด ให้ไปชมเกมด้วยกันที่เบลเกรด ซึ่งซาตินอฟฟ์ปกติก็ซื้อตั๋วชมเกมของแมนฯยูไนเต็ดแทบทุกเกมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนักเตะแบบนี้ เขาไม่พลาดโอกาสแน่นอน
สรุปแล้วขาไป มีผู้โดยสารรวมลูกเรือ และนักบิน ทั้งหมดแค่ 39 คนเท่านั้น เหลือที่ว่างเยอะแยะมากมาย
ในช่วงขาไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ในยุคนั้น นักฟุตบอลกับนักข่าว มีความสนิทสนมกันมาก แต่ละคนยังดื่มเหล้า สูบบุหรี่ด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งลูกเรือก็เสิร์ฟอาหาร และเครื่องดื่มตลอดทริป ใช้เวลาแค่แป้บเดียวเท่านั้น เที่ยวบินจากแมนเชสเตอร์ ก็ไปถึงมิวนิคด้วยสวัสดิภาพ
หลังจากแวะพักเติมน้ำมันเรียบร้อย กัปตันเจมส์ เธน และ เคนเน็ธ เรย์เมนต์ นำเครื่องขึ้นจากมิวนิค เพื่อเดินทางไปเบลเกรด โดยในวันนั้น สภาพอากาศมีลมแรงมาก สายการบินอื่นล้วนแคนเซิลไฟลต์กันหมดแล้ว แต่กัปตันทั้งคู่โชว์ฝีมือเอาเครื่องลงที่สนามบินเซมัน แอร์พอร์ท ได้อย่างสวยงาม และเป็นเครื่องลำเดียวที่แลนดิ้งในสนามบินวันนั้นด้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บินมาถึงที่หมาย ในช่วงเย็นของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1958 สองวันก่อนการแข่งขัน จากนั้นทั้งทีมเดินทางเข้าพักที่โรงแรมด้วยความเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไร
แมนฯยูไนเต็ด ลงซ้อมหนึ่งวัน ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ จากนั้นช่วงหัวค่ำ ทางสโมสรเรดสตาร์ เบลเกรด เหมาโรงหนังให้ผู้เล่นแมนฯยูไนเต็ดได้เข้าชมภาพยนตร์เป็นกิจกรรมสันทนาการ ซึ่งภาพยนตร์เป็นเสียงภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ดังนั้นนักเตะปีศาจแดงก็สามารถดูกันได้อย่างสนุกสนาน
คือทริปนี้จะว่าไปแล้ว มาแข่งบอลก็จริง แต่บรรยากาศมันก็สบายๆ เหมือนมาเที่ยวกับเพื่อนด้วย
เช้าวันแข่ง 5 กุมภาพันธ์ แมนฯยูไนเต็ด เดินทางมาถึง เจเอ็นเอ สเตเดี้ยม บ้านของปาร์ติซาน เบลเกรด เพื่อลงแข่ง สาเหตุที่ไม่ได้แข่งที่บ้านของเรด สตาร์ เพราะขนาดของสนามปาร์ติซานใหญ่กว่า เหมาะกับการรองรับแฟนบอลจำนวนมากในเกมสำคัญขนาดนี้
แต่แน่นอน จะสนามไหน บัสบี้ก็ไม่หวั่น ด้วยศักยภาพของแมนฯยูไนเต็ด เขามั่นใจว่าทีมเข้ารอบแน่นอน 100%
แฟนบอลเรดสตาร์ 52,000 คนเข้ามาชมเกมแน่นขนัด เพื่อลุ้นให้ทีมพลิกเข้ารอบให้ได้ แต่แค่ 45 นาทีแรก ทุกอย่างก็รู้ผลแล้ว เมื่อแมนฯยูไนเต็ด เดินหน้าไล่ยิงขาด 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก เดนนิส ไวโอเล็ตยิง 1 ก่อนที่บ๊อบบี้ ชาร์ลตันจะซัดอีก 2 เม็ด รวมผลสองนัด แมนฯยูนำ 5-1
นั่นแปลว่า เรดสตาร์ต้องยิงอีก 5 ประตู ในครึ่งหลังเพื่อคัมแบ็กกลับมาเข้ารอบ ซึ่งในเกมระดับนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ในครึ่งหลังแมนฯยูไนเต็ดผ่อนเกม ก่อนจะโดนยิงมา 3 ลูก สุดท้ายเกมจบ 3-3 แต่ทีมปีศาจแดงยังเข้ารอบอยู่ดีด้วยสกอร์รวม 5-4
หลังจบเกม ผู้เล่น นักข่าว โค้ช ทุกคนที่มากับเครื่องบิน ต่างคว้าขวดเบียร์มาฉลองกันอย่างสะใจ แมนฯยูไนเต็ด ตัวแทนจากอังกฤษเข้ารอบรองชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ ซึ่งถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเจอคู่แข่งทีมไหน แชมป์เก่าเรอัล มาดริด หรือ เอซี มิลาน ก็มาเถอะ ลูกทีมของแมตต์ บัสบี้ไม่กลัวใครอีกแล้ว
ในคืนนั้น สถานทูตสหราชอาณาจักรจัดค็อกเทลปาร์ตี้ เลี้ยงนักเตะแมนฯยูไนเต็ดทั้งทีม บัสบี้ สั่งให้นักเตะเอ็นจอยกันอย่างเต็มที่หนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางกลับอังกฤษในวันรุ่งขึ้น
ขากลับ ด้วยความที่มีที่นั่งว่างมากมาย จึงมีคนขอติดเครื่องไปด้วย โดยประกอบไปด้วย
- เบล่า มิคลอส และ ภรรยามาเรีย สองคนนี้คือ เจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ ที่จัดหาโรงแรม และการเดินทางให้ตลอดทริปที่ยูโกสลาเวีย ตามปกติก็ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินแยกกันกลับ แต่เมื่อเหลือที่นั่งว่างบนไฟลท์เหมาลำ ทั้ง 2 คน จึงขอกลับไปด้วยเลย
- เนโบย่า โทมาเซวิช เจ้าหน้าที่สถานทูตยูโกสลาเวีย ณ สหราชอาณาจักร
- เวเรน่า ลูคิช กับ เวสน่า ลูคิช ลูกสาววัย 22 เดือน ที่ต้องการเดินทางไปหาสามีที่ทำงานในกองทัพอากาศที่อังกฤษ
1
ของเดิม 39 บวกคนใหม่อีก 5 เท่ากับว่าตอนนี้ มีผู้โดยสารทั้งหมด 44 ชีวิตบนเครื่องบินลำนี้ โดยเส้นทางการบินจะออกจากเบลเกรดในช่วงเช้า และใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง ไปถึงสนามบินในมิวนิคราวๆเที่ยง
จริงๆจะต้องมีอีกคนที่ไปด้วย คือมิโร่ ราดอยซิช นักข่าวจากสนพ.ที่ยูโกสลาเวีย โดยแมตต์ บัสบี้ เชิญให้เขาไปทำข่าวเบื้องหลังการฝึกซ้อมของแมนฯยูไนเต็ดที่อังกฤษ ซึ่งราดอยซิช เก็บกระเป๋ามาถึงสนามบินแล้ว แต่ว่าดันลืมเอาพาสปอร์ตมาจากบ้าน เขารีบนั่งแท็กซี่กลับไปเอา ก่อนจะกลับมาสนามบินให้ทันเวลา แต่น่าเสียดายที่มาสายเกินไป เครื่องบินเทกออฟไปเรียบร้อยแล้ว ราดอยซิชบ่นอุบที่เขาดันลืมพาสปอร์ตได้อย่างไรก็ไม่รู้
สำหรับการบินจากเบลเกรด ไปมิวนิค ไม่มีอะไรผิดปกติ นักข่าวบางคนหยิบเอาพิมพ์ดีดมาเขียนบทความ ขณะที่นักฟุตบอลที่นอนไม่หลับก็หยิบไพ่มาเล่นกัน เลียม วีแลน, จอห์นนี่ เบอร์รี่, โรเจอร์ บรีน, เรย์ วู้ด และ แจ๊กกี้ บลานช์ฟลาวเวอร์ นั่งเล่นโป๊กเกอร์กันฆ่าเวลา
ขณะที่แมตต์ บัสบี้ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่จะมาเบลเกรด เขาเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเล็กมา จากนั้นก็ต้องเดินทางข้ามประเทศมาอีก ร่างกายเขาเหนื่อยล้ามาก จริงๆหมอไม่อยากให้เขาเดินทางไกล แต่บัสบี้ยืนยันว่า เกมสำคัญแบบนี้เขาจะปล่อยให้ลูกทีมไปสู้เองไม่ได้
แม้จะเข้ารอบไปแล้วก็จริง แต่ในใจของบัสบี้ ยังคงคิดถึงเกมฟุตบอลเมื่อคืนอยู่ แมนฯยูไนเต็ดนำเรด สตาร์ 3-0 กลับมาโดนตีเสมอ 3-3 ในครึ่งหลัง มันไม่ใช่ฟอร์มที่ดีเลย ถ้าเล่นแบบนี้ในการเจอเรอัล มาดริด หรือเอซี มิลาน รับรองว่าไม่รอดแน่ๆ ซึ่งเขาคิดว่าในวันรุ่งขึ้นตอนกลับมาซ้อม คงจะเน้นย้ำกับลูกทีมอีกที ให้เล่นอย่างละเอียดขึ้นกว่านี้
บรรยากาศในเคบินเป็นไปอย่างปกติ ขณะที่ในค็อกพิต สองนักบิน เธน กับ เรย์เมนต์ เจองานที่ไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะเมฆหนาครึ้มมาก บนความสูง 18,000 ฟุต ขณะที่อุณหภูมินอกเครื่องบินอยู่ที่ติดลบ 21 องศาเซลเซียส ตอนนี้ใกล้ถึงมิวนิคแล้ว มีหิมะตกโปรยปรายลงมา ดังนั้นการแลนด์ดิ้งจึงทำได้ไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ตามนักบินเอาเครื่องลงรันเวย์ได้อย่างเพอร์เฟ็กต์
เวลาที่เครื่องลงจอด คือ 14.11 ตามเวลาที่เยอรมัน อากาศที่มิวนิค-ไรม์ แอร์พอร์ต นั้นหนาวจัด ด้านนอกเครื่องบินมีหิมะ ปนกับฝนตกลงมาเรื่อยๆ ถึงตรงนี้ ทุกคนบนเครื่อง ก็ยังไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเส้นทางที่ยากๆ อย่างมิวนิคไปปราก กัปตันทั้งสองคน ก็เอาเครื่องลงอย่างปลอดภัยดี ดังนั้นเส้นทางที่ง่ายกว่าอย่างมิวนิคไปแมนเชสเตอร์ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเลย
15.31 น. การเติมน้ำมันเสร็จสิ้น กัปตันเตรียมจะเอาเครื่องขึ้น ตอนนี้นักกีฬาแต่ละคนเริ่มคิดถึงครอบครัว เพราะเดินทางมาตั้ง 3 วันแล้ว เช่นเดียวกับแมตต์ บัสบี้ แม้จะจริงจังกับฟุตบอลแค่ไหน แต่เขาก็คิดถึงภรรยาที่ชื่อ จีน (Jean) เช่นกัน เพราะไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว เธอเองคงเป็นห่วงเขามาก เพราะเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดมา เขาอยากกลับไปบอกเธอว่า ไม่ต้องห่วงนะ เขาสบายดี
แต่ ณ วินาทีนั้น ทั้งบัสบี้ และทุกคนบนเครื่อง ไม่มีใครรู้เลยว่า เหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
[ จบ Part 1]
โฆษณา