29 มี.ค. 2020 เวลา 07:21 • ประวัติศาสตร์

ว่าด้วยยุคมืด มรณะดำ และ การลงทัณฑ์จากพระเจ้า กับ ความเสื่อมของสมัยกลางในยุโรป

สมัยกลางในยุโรป เป็นยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในช่วงระหว่าง ค.ศ.476 - 1492 ซึ่งระยะนี้ยุโรปไม่มีศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองที่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป
เนื่องจากชนเผ่าอนารยชนได้เข้ารุกรานและยึดครองกรุงโรมที่ศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตกไว้ได้ ส่งผลให้ชนพื้นเมืองในดินแดนต่างๆที่ขึ้นกับกรุงโรมต่างตั้งตัวเป็นอิสระและปกครองตนเอง เกิดเป็นอาณาจักรและแคว้นต่างๆ จำนวนมาก
ฟลาวิอุส โอเดเซอร์ ผู้นำชนเผาอนารยชนที่เข้ายึดครองกรุงโรมและบีบให้จักรพรรดิโรมุลุส ออกุสตุส สละราชบัลลังก์เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 476
แผนที่ยุโรปหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ.476 จะเห็นว่ามีชนเผ่าต่างๆตั้งตัวเป็นอิสระมากมาย
โดยการปกครองในยุคกลางนี้ เรียกว่าระบบศักดินาสวามิภักดิ์ หรือ ระบบฟิวดัล (Feudalism) โดยใช้ที่ดิน (fiefs) เป็นสื่อกลางเพื่อสร้างพันธสัญญาระหว่างกัน ในลักษณะ "ต่างตอบแทน"
โดยมีหลักการที่ว่า กษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดิน เรียกว่า “ลอร์ด”(Lord) ซึ่งจะกระจายอำนาจของตนไปให้ โดยการมอบที่ดิน ให้กับ บรรดาขุนนางและอัศวิน ซึ่งจะรับที่ดินไปใช้ประโยชน์ มีฐานะเป็นผู้รับใช้ เรียกว่า “วัสซัล”(Vassal) ที่ต้องตอบแทนด้วยการให้ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์
โครงสร้างสังคมแบบระบบศักดินาสวามิภักดิ์ หรือ ระบบฟิวดัล (Feudalism) ซึ่งใช้ที่ดิน (fiefs) เป็นสื่อกลาง
ระบบฟิวดัลที่ใช้ที่ดินเป็นสื่อกลางนี้ จะเชื่อมโย้งไปถึงระบบเศรษฐกิจเป็นแบบแมเนอร์ (Manor) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองในหน่วยที่ดินที่ได้รับมอบไปนั้น
โดยใน 1 หน่วยที่ดิน หรือ 1 แมเนอร์ นั้นจะมี ทาสติดที่ดิน (serf) เป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากและสถานะต่ำสุด ค่อยทำหน้าที่เป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรมและส่งผลผลิตให้กับเจ้าที่ดิน (Lord) ที่พักอยู่ในปราสาท (Manor House) นั้นๆ เพื่อตอบแทนที่ให้การคุ้มครองดูแล
โครงสร้างของหน่วยที่ดินในระบบแมเนอร์ที่พึ่งพาตนเองในระบบเกษตรกรร
ขณะเดียวกันคริสต์ศาสนาได้กลายเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลสูงที่สุดเนื่องจากอาณาจักรในยุโรป ต่างยอมรับคริสต์ศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาของอาณาจักรตนเกือบทั้งสิ้น โดยถือว่าสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งประทับที่กรุงโรม เป็นองค์ประมุขสูงสุด
ภาพสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 3 ทรงสวมมงกุฎให้กับจักรพรรดิชาร์เลอมาญ แห่งเผาแฟรงก์ ในพิธีราชาภิเษกเพื่อแสดงถึงการได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า
ในช่วงยุคกลางนี้เองที่องค์กรของคริสต์จักร ได้กระจายตัวลงไปในชุมชนต่างๆ เรียกได้ว่าต้องมีโบสถ์และบาทหลวงอยู่ทุกแมเนอร์ก็ว่าได้
ส่งผลให้คริสต์ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยกลางเป็นอย่างมาก บาทหลวงกลายเป็นผู้ชี้นำความคิดแก่ผู้คนที่ไร้การศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสติดที่ดินในแมเนอร์ ที่ถือเอาโบสถ์เป็นที่พึ่งความความเชื่อและเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่ผูกพันวิถีชีวิตของผู้คนตั้งแต่เกิดจนตาย
ชนชั้นต่างๆในระบบฟิวดัล บาทหลวงถือว่าเป็นชนชั้นสูงที่มีบทบาททางการเมืองเป็นที่ปรึกษาของกษัตรย์และเป็นที่เคารพเชื่อถือของประชาชนทั่วไป
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในสมัยกลางถึงจุดสูงสุด จนมีคำกล่าวถึงยุคกลางในระยะแรกว่า “ยุคมืด” (Dark Age) ซึ่งหมายถึงการมืดมนทางปัญญาที่ถูกครอบงำโดยคริสต์ศาสนา ขณะที่แนวคิดปรัชญาที่เนการแสวงหาเหตุและผลแบบกรีกโรมันกลับเลือนหายไป
สิ่งที่สะท้อนถึงอิทธิพลของคริสต์ศาสนา ที่ชัดเจนที่สุดคือการเกิดสงครามครูเสด (Crusades) หรือ สงครามไม้กางเขน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม ในระหว่าง ค.ศ.1096 - 1272 ซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 200 ปี
สงครามครูเสด (Crusades) มาจากคำว่า "ครอส" (Cross) ซึ่งใช้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์สำหรับผู้เข้าร่วมสงคราม
โดยมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงนครเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 เป็นผู้มีส่วนชักนำอาณาจักรต่างๆในยุโรปเข้าร่วมสงครามในฐานะสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อพระผู้เป็นเจ้า
รูปวาดของสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2
การทำสงครามครูเสด ที่ยืดเยื้อยาวนาน และจบลงด้วยความล้มเหลวของชาวคริสต์ ที่ไม่สามารถขับไล่พวกมุสลิมออกไปจากนครเยรูซาเล็มได้ บวกกับความสูญเสียของผู้หลงเข้าร่วมสงครามทำให้ความศรัทธาในคริสต์ศาสนาเสื่อมลง
ต่อมาเมื่อเกิดภาวะการระบาดกาฬโรคครั้งใหญ่ในยุโรป ในช่วงค.ศ. 1347 -1351 อันเนื่องจากการติดเชื้อระบาดที่เกิดจากหมัดหนูสีดำที่มากับการค้าจากเอเชีย บริเวณทะเลดำ ผ่านเรือสินค้าที่แพร่กระจายไปยังอิตาลีและภูมิภาคยุโรปอย่างรวดเร็ว
ภาพแสดงกระบวนการระบาดและพาหะของกาฬโรค
การระบาดในครั้งนั้นส่งผลให้มีประชากรล้มตายลงกว่า 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรยุโรปในขณะนั้น ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนามว่า “The Black Death” หรือ “มรณะดำ”
แผนที่แสดงเส้นทางการระบาดของกาฬโรคในยุโป ช่วง ปี ค.ศ.1346-1352. เรียกว่า The Black Death
ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อกาฬโรค จะมีอาการหนาวสั่น มีไข้สูง ชักและอาเจียนอย่างรุนแรง และจะมีจุดด่างดำเกิดขึ้นบนผิวหนังและมีต่อมปูดขึ้น ผู้ป่วยกาฬโรคมักจะตายภายในไม่กี่วัน และศพที่มีน้ำหนองจากต่อมพุพอง เปลี่ยนสภาพเป็นสีดำจะเน่าเหม็นสร้างความรังเกียจแก่ผู้คนทั่วไป
ภาพวดอาการของผู้ป่วยกาฬโรคในสมัยกลาง
ดังนั้นการจัดการนำศพไปทิ้งหรือฝังรวมๆกันนอกกำแพงเมือง ซึ่งจะหาคนที่เป็นสัปเหร่อไม่ได้ จนต้องใช้ หมอกาฬโรค หรือ หมอกาดำ (Plague Doctor) ที่สวมชุดป้องกันตนเองอย่างมิดชิด เพื่อรักษาผู้ป่วย มาทำหน้าที่ในการจัดการศพผู้ป่วยด้วยในบ้างครั้ง
ภาพวาดการฝั่งศพผู้เสียชีวิตจากกาฬโรค
ภาพหลุมศพแบบรวมของผู้ที่เสียชีวิตจากกาฬโรคในช่วง ค.ศ.1347-1451 ซึ่งขุดพบในรัสเซีย
การแต่งกายและอุปกรณ์ของหมอกาฬโรค หรือ หมอกาดำ (Plague Doctor)
สภาพดังกล่าวทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นทาสติดที่ดิน ที่มักไม่มีความรู้ ยังไม่เข้าใจ ว่ากาฬโรคนั้นเป็นโรคที่เกิดจากการระบาดจากเชื้อโรคในธรรมชาติ แต่กลับเชื่อว่าโรคระบาดนี้เป็นการลงทัณฑ์จากเบื้องบน
โดยเชื่อว่าโรคระบาดเป็นบาปที่มาจาก ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงผิด และความคิดริษยา ของผู้คนบางกลุ่ม ฉะนั้นการทำให้พระเจ้าพึงพอใจจึงน่าจะเป็นหนทางที่จะหยุดโรคร้ายนี้ได้
ภาพวาดที่แสดงให้เห็นว่ากาฬโรคมาจากการลงฑัณฑ์จากเบื้องบน
นอกจากนี้ผู้คนบางส่วนยังหันไปพึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์จากแม่มด หมอผี เพราะเชื่อว่าคนประเภทนี้คือตัวแทนของซาตานและถ้าให้ซาตานมีความสุขและพอใจ โรคก็จะหยุดระบาด
ภาพของปีศาจร้ายหรือซาตานที่คร่าชีวิตผู้คนด้วยโรคระบาด
หนึ่งในความเชื่อที่หลงงมงายก็คือ เรื่องอดติและความเกลียดชังชาวยิวที่ผูกโยงกับอคติทางศาสนาเป็นทุนเดิม บวกกับความเป็นปรปักษ์ต่อชาวยิวที่ขยายขึ้นในช่วงสงครามครูเสด ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ เกิดกาฬโรค
ในระยะนี้ชาวยิวมักกลายเป็นแพะที่ถูกกล่าวหาว่าคือตัวแพร่เชื้อโรคด้วยการการวางยาพิษในบ่อน้ำ ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างชาวยิวในช่วง ค.ศ.1348-1349 เพื่อระบายความแคล้นจากความงมงายหลายครั้ง
ความรุนแรงหนึ่งที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมก็คือ การจับชาวยิวกว่า 2,000 คน มาขังรวมในอาคารไม้แล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น ในเมืองสทราซบูร์ (Strasbourg) ในฝรั่งเศส
ภาพการทำร้ายและเผาชาวยิวทั้งเป็น ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้กาฬโรคระบาด
ซึ่งในเหตุการณ์นี้แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6 จะทรงออกมาแถลงว่าคนยิวไม่ได้แพร่กาฬโรค แต่ก็ไม่มีใครฟัง ซ้ำร้ายยังเกิดเหตุทำร้ายชาวยิว ด้วยการแขวนคอ และฆาตกรรม ในพื้นที่ต่างๆ ในยุโรป ตามมาอีกเรื่อยๆ
สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวยิวต้องอพยพหลบนี้เข้าไปทางยุโรปตะวันตก เพื่อหาพื้นที่ปลอดภัยจากการถูกทำร้าย ซึ่งส่วนใหญ่อพยพเข้าไปในโปแลนด์เป็นจำนวนมาก
สำหรับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจนั้น ก็ได้มีการพบว่า ในปี ค.ศ.1348 หลังจากที่กาฬโรคระบาดหนักจนทำให้ประชากรลดลง ส่งผลให้เกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจในระบบแมเนอร์เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะ เจ้าที่ดิน(Lord) ที่ได้รับความสูญเสียจากการไปรบในสงครามครูเสด จนทำให้แมนเนอร์บางแห่งสลายตัวไปเพราะเจ้าของที่ดินตายในสงคราม และบางส่วนที่กลับมาก็พบว่าทาสติดที่ดิน (serf) ได้หนีหายไปต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอยู่เป็นเวลานาน
ภาพวาดทาสติดที่ดิน (serf) ที่มีอาชีพเป็นชาวนา เป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมฟิวดัล
แต่เมื่อเกิดกาฬโรคระบาด ทำให้ประชากรลดลงอย่างมากนั้น ส่งผลให้แมนเนอร์ต่างๆ ยิ่งได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีทาสติดที่ดินที่เป็นผู้จ่ายค่าเช่าที่นา นั้น ก็ล้มตายลงจนเกือบหมด ทำให้ที่ดินต่างๆจึงรกร้าง ผลผลิตทางเกษตรก็ลดปริมาณลงไปด้วย
ทาสติดที่ดิน (serf) ส่งผลผลิตที่ได้จากการทำเกษตรกรรมให้กับเจ้าที่ดิน เพื่อแลกกับการคุ้มครองให้ความปลอดภัยและความยุติธรรมต่างๆ
ภาวะเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการขาดอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ ร่วมถึงแรงงานได้กลายเป็นที่ต้องการในธุรกิจด้านการค้า ที่เกิดจากการแสวงหาสินค้าจากต่างแดน ส่งผลให้ทาสติดที่ดินจึงต้องการความอิสระ ต่างหลบหนีจากที่ดินของตนเองไปทำงานที่ได้ค่าจ้างในเมืองแทน
ภาพวดเมืองท่าในยุโรปในช่วงปลายสมัยกลางที่เป็นเมืองท่าค้าขายทางเรือ
ด้วยเหตุนี้เองในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 สังคมศักดินาในระบบฟิวดัล (Feudalism) และเศรษฐกิจแบบแมเนอร์ (Manor) ก็เริ่มสลายตัวลง
ขณะที่เมืองท่าการค้าได้เริ่มเพิ่มความสำคัญขึ้นพร้อมกับการเกิดชนชั้นใหม่ นั้นคือ ชนชั้นกลาง ซึ่ง มีอาชีพเป็นพ่อค้าและนักเดินเรือ ซึ่งจะมีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจในช่วงปลายสมัยยุคกลางต่อมา
ชนชั้นกลางที่เป็นพ่อค้า ถือเป็นชนชั้นใหม่ ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น แทนชนชั้นนักบวชและขุนนาง
นอกจากนี้ผลของโรคระบาดในด้านจิตวิทยา ก็มีผลกระทบรุนแรง เพราะยอดการสูญเสียประชากร ถึง 1 ใน 3 สร้างความกลัวการติดโรค และกลัวตาย ที่ไม่ว่าชนชั้นกษัตริย์ ขุนนาง นักบวช หรือ ทาสติดที่ดิน ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ตายด้วยกันทั้งสิ้น
จากการที่ผู้คนในช่วงปลายสมัยกลางได้ผ่านวิกฤตของสงครามและการระบาดของกาฬโรคดังที่กล่าวมาแล้ว ส่งผลให้ผู้คนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าศาสนาไม่สามารถคุ้มครองผู้คนได้เหมือนที่หวังไว้
ด้วยเหตุนี้ในช่วงสมัยกลางจึงเกิดกระบวนการแสวงหาคำตอบและการตื่นตัวทางปัญญา ที่หลุดพ้นจากการถูกครอบงำทางการเมืองจากองค์กรศาสนา มากขึ้นจนเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ตามมานั้นเอง
และเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เดินทางออกสำรวจทางทะเล ใน ปี ค.ศ.1492 เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่าโลกกลม ไม่ได้แบนเหมือนที่คริสต์จักรได้สอนไว้ จุดนี้เองจึงถือเป็นจุดสิ้นสุดของสมัยกลาง และเริ่มต้นสมัยใหม่ที่เปิดโอกาสให้ชาวยุโรปได้ออกไปแสวงโชคและกำหนดชะตาของตนเองต่อไป
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เชื่อว่าโลกกลม โดยเดินเดินไปในทางทิศตะวันตก เพื่อหวังจะเดินทางไปเจอทวีปเอเชียที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันออก จนค้นพบทวีปอเมริกาโดยบังเอิน
โฆษณา