30 มี.ค. 2020 เวลา 11:40 • ประวัติศาสตร์
ถอดบทเรียน "มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก"
เป็นธุรกิจออนไลน์อย่าง Facebook ที่เป็นเว็บไซต์ Social Media
ที่มีคนใช้งานณปัจจุบันมากกว่า 2 พันล้านคน
มาร์คซัคเคอร์เบิร์กเกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมปี 1984
ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยทั้งพ่อและแม่ของเขามีเชื้อสายยิวทั้งคู่
คุณพ่อเขาประกอบอาชีพหมอฟัน
คุณแม่ของเขานั้นเป็นนักจิตวิทยา
ทำให้ในวัยเด็กของเขาเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างอยู่สุขสบาย
อายุ10ขวบ มาร์คเรื่มมีความสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์
และมีความสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โดยมาลองเริ่มใช้ทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ให้คุณพ่อของเขา
ไปใช้ในคลินิกโดยการสร้างโปรแกรมแชทขึ้นมา
โดยใช้ชื่อว่า ZUCKNET ทำให้พนักงานภายในคลินิกพ่อ
เขานั้นสามารถสื่อสารพูดคุยกัน
1
พอมัธยมต้นมาร์คก็สามารถเขียนเกมขึ้นมาเล่นเอง
ในขณะที่เพื่อนๆของเขานั้นมักจะขอตังค์พ่อแม่ซื้อเกมมาเล่น
หลังจากนั้นในช่วงมัธยมนี้นี่เองที่มาร์คกับเพื่อนเขา
ก็ได้เขียนโปรแกรมที่ชื่อว่า Zinab ซึ่งสามารถระบุความชอบ
ของแต่ละคนเพื่อเลือกเพลงที่น่าจะเหมาะสมกับแต่ละคนได้
และมันสามารถทำงานได้ดีทีเดียว
จนถึงขนาดที่บริษัทอย่าง Winamp กับ Microsoft นั้น
เข้ามาเสนอเงินก้อนโตให้จำนวนเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่มาร์คก็ยังไม่ยอมขาย
จนกระทั่งพวกเขาเปลี่ยนใจจะขายในที่สุด
ก็พบว่าบริษัทเหล่านั่นไม่ได้สนใจตัวซอฟแวร์ของเขาแล้ว
1
หลังจากที่มาร์คเรียนจบจากชั้นมัธยมปลาย
มาร์คได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Haward ในปี 2002
ในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
เขาได้เริ่มการพัฒนาเขียนโปรแกรมที่ชื่อว่าQos match
เป็นโปรแกรมที่เกี่ยวกับการเสนอวิชาเรียนที่เหมาะสมกับนักศึกษา
แต่ละคนแต่ก็ถูกทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธไป
เนื่องจากมันยากที่จะรวมข้อมูลนักศึกษาทั้งหมดในมหาวิทยาลัย
ไว้ในที่เดียวกัน แต่มาร์คก็ยังไม่ถอดใจจนกระทั่ง
ได้เขียนโปรแกรมใหม่คือ Facematch
และดึงข้อมูลจากส่วนกลางของมหาวิทยาลัย
และปล่อยลงในเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Facematch.com
และให้นักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดช่วยกันโหวตรูปสาวๆ
ในมหาวิทยาลัยว่าชอบใครมากกว่ากันโดยมี 2 รูปให้เลือก
หลังจากเปิดเว็บไซต์ไปเพียง 4 ชั่วโมง
ก็มีนักศึกษาเข้าใช้งานอย่างล้นหลาม
จนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยล่มในที่สุด
ทำให้คณะกรรมการของมหาลัยสั่งปิดเว็บไซต์ Facematch.com ลง
ซึ่งทำให้มาร์คนั้นถูกคณะกรรมการของของมหาลัยทัณฑ์บนเอาไว้
เนื่องจากเค้าได้เจาะเข้าระบบรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย
แต่มาร์คก็ยังคงมองในแง่ดี ว่าอย่างน้อยนั้นเขาก็ได้รู้จุดบกพร่อง
ของระบบรักษาความปลอดภัยของ มหาลัย ว่ามันไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด
มาร์คเชื่อว่าแทนที่จะเก็บข้อมูลไว้ดูเพียงคนเดียวในแฟ้มลับ
มันควรจะแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกันมากกว่า
แม้ว่าเขาจะถูกทางมหาลัยทัณบนเอาไว้
แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกในการเก็บข้อมูลของ นักศึกษาลงบนโลกออนไลน์
เขาเขียนเว็บขึ้นมาใหม่แล้วให้นักศึกษา Haward
ลงทะเบียนเพื่อกรอกประวัติและข้อมูลส่วนตัวลงไป
โดยเปิดเว็บไซต์ครั้งแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี 2004
ที่มีชื่อว่า The facebook.com
ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น 2 พยางค์เหลือเพียง facebook.com โดยเว็บที่ว่านี้ก็ได้เพื่อนๆในมหาลัยของเขาช่วยกันสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น
EDUARDO SAVERIN. ANDREW MCCOLLUN
DUSTIN MOSKOVITZ. CHRIS HUGHES
ซึ่งหลังจากเปิดตัวก็มีนักศึกษา Haward เข้ามาลงทะเบียน
ใช้งานกว่าสองในสามของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
มาร์คจึงตัดสินใจที่จะขยายไปยังมหาวิทยาลัยอื่น
จนกระทั่งสามารถเข้าถึงมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
รวมถึงประเทศแคนาดา ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง
โดยระหว่างนี้ Facebook อยู่ได้ด้วยเงินจากแบนเนอร์ค่าโฆษณา
โดยเฉลี่ยแล้วได้รายได้อยู่ที่ประมาณ 2,000-3000 เหรียญต่อเดือน
มาร์คกับเพื่อนของเขาตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน
ไปอยู่อาศัยที่พาโดออโต้ รัฐแคลิฟอร์เนีย
หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า Silocon Valley
ที่เป็นแหล่งกำเนิดของเหล่าบรรดาธุรกิจ startup
ที่เป็นอันดับต้นๆของโลกรวมกันอยู่ที่นี่
มาร์คได้ดรอปเรียนที่ Haward หลังจากเรียนได้เพียง 2 ปีเท่านั้น
ต่อมาในปี 2017 ทาง mtv เสนอซื้อกิจการของ Facebook
เป็นจำนวนเงินกว่า 75 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มาร์คก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้
จนกระทั่งมาร์คซัคเคอร์เบิร์กได้มีโอกาสพบกับ SEAN PARKER
คนที่เห็นศักยภาพของ Facebook
ที่จากตอนแรกเป็นแค่ Project ในระดับมหาวิทยาลัย
ทำให้มันก้าวสู่โลก Social Media ระดับโลก
ซึ่ง SEAN PARKER เองก็ได้ขึ้นเป็นประธานบริหารคนแรกของ Facebook
อีกด้วยแต่ต่อมาก็ถูกเชิญออก เพราะมีส่วนเกี่ยวพันกับยาเสพติด
จึงทำให้ถูกลงจากผู้บริหารของ Facebook
หลังจากนั้น SEAN PARKER ก็ได้พามาร์คไปพบกับ PETER THIEL
ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO อย่างPayPal
และเขาได้กลายมาเป็นนักลงทุนรายแรกของ Facebook
ด้วยจำนวนเงิน 500000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2004
เพื่อแลกกับการเป็นหุ้นส่วนเพียงเล็กน้อยประมาณ 7%
โดย Facebook ยังคงอยู่ในการควบคุมของมาร์คอย่างเต็มที่
ส่วนSEAN PARKER เองนั้นก็ได้รับส่วนแบ่งหุ้น 6.46% จากการดีลในครั้งนี้
ต่อมา Facebook นั้นสามารถพัฒนาและเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
จนครบ 1 ล้านคนเมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2004
โดยใช้เวลาเพียงแค่ 9 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์
ต่อมา PETER THIEL นักลงทุนคนแรกของ Facebook
ได้พามาร์คไปเซ็นสัญญาจับมือกับ Accel Partners และได้เงินทุนมาเพิ่ม
อีก 12.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ต่อมาในปี 2009 มีผู้ใช้งาน Facebook เป็นจำนวนกว่า5ล้านคน
ซึ่งในปี 2017 ที่ผ่านมานี้ก็มีบัญชีผู้ใช้งานทั่วโลกที่ Active
อยู่แล้วกว่า 2 พันล้านคนเลยทีเดียว
ต่อมา Facebook ก็ยังเป็นที่สนใจถึงขนาดที่ส่วน Engine
ผู้ให้บริการค้นหาอย่างYahoo นั้นเสนอราคาที่จะซื้อ
Facebook ในราคา 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่มาร์คก็ได้เป็นปฎิเสธเงินก้อนนี้เพราะคิดว่า Facebook ไปได้มากกว่านี้
ต่อมา Microsoft เองก็เคยเสนอซื้อกิจการ Facebook
ด้วยจำนวนเงินกว่า 15000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่มาร์คก็ปฎิเสธไปอีกเช่นกัน
แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปสะทั้งหมดเพราะในปี 2004
มาร์คถูกรุ่นพี่ของเขาที่สมัยเรียนอยู่ที่ Haward นั้นฟ้องร้องต่อมาร์ค
ว่าเขาได้ขโมยแนวคิดแผนธุรกิจที่ใช้เขียนเว็บไซต์
ซึ่งมาร์คเอาใช้กับ Facebook ที่ซึ่งลอกเลียนแบบมาจากเขา
ที่พวกเขาเคยจ้างมาร์คให้มาช่วยพัฒนาเว็บไซต์
แต่ก็ไม่ได้ผลเนื่องจากคำกล่าวหาไม่มีน้ำหนักมากพอ
แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้และยื่นฟ้อง Facebook อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในวันที่ 25 มิถุนายนปี 2008 ทาง Facebook ตกลงที่จะจ่ายเงิน
เป็นจำนวนเงินกว่า 45 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยจ่ายเป็นเงินสด 20 ล้านเหรียญและหุ้น Facebook เพื่อเป็นการสงบศึก
มาร์คซัคเคอร์เบิร์กถูกยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีในปี 2010
โดยนิตยสาร Time Magazine
และต่อมาในปี 2012 เขาก็ได้แต่งงานกับ Prissilla Chan
ซึ่งปัจจุบันพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกสาว 2 คน
นั้นก็คือ MAXIMACHAN ZUCKERBERG/AugustCHAN ZUCKERBERG
ในปี2018 เขามีรายได้อยู่ที่ 64 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งมาร์คและภรรยาได้ประกาศออกมาว่าจำนวนหุ้นกว่า 99% ที่พวกเขาถือ
อยู่นั้นจะนำไปบริจาคองค์กรการกุศลที่ชื่อ Chan zuckerberg intiative
ที่เน้นไปในทางช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะอยากช่วยเหลือ
ให้เด็กๆทั่วโลกนั้นได้เกิดมามีชีวิตที่ดี
และเท่าเทียมกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาร์คได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
Helping A BillonPeople Connect is Amazing.
Humbling And By Fare The Thing I Almost Proud Of My Life
หมายถึง การที่ผมได้ช่วยให้คนกว่าพันล้านคนที่เชื่อมต่อถึงกัน
มันเป็นอะไรที่ Amazing มากๆซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่ง
ในชีวิตของผมที่ผมภูมิใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ขอบคุณที่อ่านมาถึงณ.ตอนนี้นะครับ
ถ้าชอบฝากกดไลค์กดแชร์หรือคอมเม้นกันได้นะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา