13 เม.ย. 2020 เวลา 05:30 • ประวัติศาสตร์
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเราทานอาหารแบบมนุษย์ยุคหิน?
อาหารแบบมนุษย์ยุคหิน ซึ่งแปลมาจากคำว่า Paleo Diet ซึ่งรูปแบบอาหารลักษณะนี้น่าอยู่บนความหวังที่ว่ากินแล้วไม่ต้องอดอาหารและความอ้วนก็ลาจากไปได้
การกินอาหารแบบมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วนี้ เน้นการกินที่เป็นธรรมชาติตามสัญชาตญาณของคนยุคหินเช่น กินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ถั่ว และผลไม้ เหมือนที่หาได้ในป่าสมัยโบราณ อาหารนั้นไม่ต้องปรุงแต่ง (แต่ควรทำสุก)
แบบว่าหาได้แบบไหนก็จะกินแบบนั้น เพราะในยุคหินนั้นแค่วิ่งหนีไดโนเสาร์ก็เหนื่อยแล้วจะหาเวลาที่ไหนมานั่งปลูกข้าวแล้วนำมาสีเพื่อนำไปหุงกินล่ะ
ในตำราโบราณคดีกล่าวว่า ช่วงเวลาการกินอาหารแบบมนุษย์ยุคหินนี้สิ้นสุดเมื่อราว 10,000 ปีก่อนปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์ได้เริ่มทำปศุสัตว์ไร่นาเพื่อสะสมอาหารและเริ่มมีการปรุงอาหารในรูปแบบต่างๆ กัน
หลักการของการกินอาหารลักษณะนี้เกิดมาจากความคิดที่ว่าคนเราอ้วนหรือสุขภาพเสื่อมโทรมเพราะรูปแบบการกินอาหารต่างไปจากบรรพบุรุษที่เป็นมนุษย์ยุคหินซึ่งกินตามความต้องการพื้นฐานของร่างกายเท่านั้น
ในขณะที่ปัจจุบันมีการปรุงแต่งด้วยสารเคมีตามความรู้ของวิทยาศาสตร์ทางอาหารซึ่งมีทั้งหวานมันเค็มเผ็ดเปรี้ยวและที่เป็นลักษณะเด่นของอาหารที่ผลิตทางอุตสาหกรรมคือการใช้สารเคมีสังเคราะห์แบบสนุกมือ
ดังนั้นอาหารแบบมนุษย์ยุคหินจึงได้ถูกนำเข้ามาแก้ปัญหาความอ้วนโดยมุ่งให้เลือกกินอาหารเฉพาะที่จำเป็นเฉกเช่นคนในสมัยก่อนกินกันเพื่อจะได้ไม่อ้วน
ลักษณะเด่นของอาหารแบบมนุษย์ยุคหินคือ มีอาหารหลักเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมันพร้อมมีเครื่องเคียงเป็นผักผลไม้ เพื่อให้ได้สารอาหารในส่วนคาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ สำหรับไขมันที่ได้จากมื้ออาหาร (นอกเหนือจากไขมันที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อสัตว์) นั้นมาจากพืชชนิดต่างๆ เช่น ไขมันจากอะโวกาโด เมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกฯ
ซึ่งต้องผลิตแบบง่ายๆ จากนั้นผู้บริโภคคงต้องจินตนาการว่ามนุษย์ยุคหินคงปรุงอาหารแบบง่ายๆ แบบว่าตำราปรุงอาหารทุกเล่มที่มีในบ้านควรถูกบริจาคไปให้พ้นหูพ้นตา
อาหารที่ไม่แนะนำให้กินคือ ผลิตภัณฑ์นม อาหารที่ผ่านการแปรรูป น้ำตาล อาหารกึ่งสำเร็จรูป ธัญพืช และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่าข้อห้ามสุดท้ายนี้แหละที่จะเป็นอุปสรรคจนทำให้อาหารแบบมนุษย์ยุคหินไปต่อไม่ได้บนดาวโลกดวงนี้ เพราะมนุษย์กว่าครึ่งโลกได้กระมังที่ดวดเหล้ากันเป็นอาจิณ
ข้อดี (ที่เขาทั้งหลายว่ากัน) ของการลดน้ำหนักด้วยอาหารแบบมนุษย์ยุคหินคือ ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องมานั่งนับแคลอรี่ในอาหารให้เสียเวลา (เพราะโอกาสที่จะกินเกินคงยากเนื่องจากการกินอาหารในลักษณะนี้ไม่ใช่ความบันเทิงเสียแล้ว)
ไม่ต้องกลัวหมดแรงระหว่างวันเพราะสามารถกินได้อิ่มไม่ต้องทนหิว ทำให้มีพลังงานเพียงพอต่อการใช้ชีวิตตามปกติจึงสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ่อนเพลียระหว่างการออกกำลังกายเพราะอดอาหารและคงไม่อยากกินจุบจิบระหว่างวันเพราะอาหารจุบจิบ (สาวๆ ชอบนั้นมัก) นั้นอยู่นอกกรอบของอาหารแบบมนุษย์ยุคหิน เนื่องจากมันมักเป็นแป้งที่ต้องประดิษฐ์ประดอยหรือต้องดองถ้าเป็นผลไม้
อย่างไรก็ตาม อะไรที่ว่าดีนั้นมักมีจุดด้อยเสมอ เพราะมีผู้ตั้งข้อสังเกตในการกินอาหารแบบมนุษย์ยุคหินว่าอาจมีปัญหา เพื่อให้ผู้สนใจอาหารลักษณะนี้พิจารณาเป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจว่าจะร่วมหัวจมท้ายหรือไม่ดังนี้
เริ่มต้นจากการที่มีผู้วิเคราะห์อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับอาหารแบบมนุษย์ยุคหิน แล้วถูกนำไปกล่าวถึงใน Wikipedia ว่า ได้มีการอนุมานแบบผิด ๆ ของบุคคลที่นิยมการบริโภคอาหารแบบมนุษย์ยุคหินว่าระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ปัจจุบันนั้นไม่ได้พัฒนาหรือปรับตัวให้ต่างไปจากมนุษย์ยุคหิน (ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์ปัจจุบันนั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Homo sapiens sapiens ไม่ใช่ Homo sapiens ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยืนอยู่บนผิวโลกนี้เมื่อ 200,000 ปี แล้วพบเป็นซากดึกดำบรรพ์ขุดพบในอัฟริกาไปแล้ว)
จึงไม่น่าย่อยอาหารแบบที่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตได้ดีจนก่อให้เกิดโรคต่างๆ ที่เรียกว่า metabolic syndrome เช่น โรคอ้วนโรคหัวใจความดันโลหิตสูงเป็นต้น
ดังนั้นอาหารแบบมนุษย์ยุคหินจึงดีเลิศประเสริฐศรีต่อมนุษย์แบบไม่มีกาลเวลามาเกี่ยวข้องทั้งที่ยังไม่มีงานวิจัยที่เป็นเรื่องเป็นราวทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาพิสูจน์
ประเด็นที่น่าสนใจคือ สมาคมนักกำหนดอาหารของอังกฤษ (British Dietetic Association (BDA)) ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1936 ปัจจุบันมีสมาชิกเป็นนักอาหารและโภชนาการมืออาชีพกว่า 7,500 คนนั้นได้ลงบทความเรื่อง Top 5 Worst Celebrity Diets to Avoid in 2015 ในเว็บ www.bda.uk.com เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2514
กล่าวว่าหนึ่งในห้าของลักษณะอาหารยอดแย่ในปัจจุบันนั้นคือ Paleo diet หรืออาหารมนุษย์ยุคหินนั่นเอง โดยกล่าวว่ามันเป็นอาหารวิตถารเพราะถ้ามีการตัดอาหารนมและผลิตภัณฑ์นมออกไปจากมื้ออาหารโดยไม่มีการทดแทนที่ถูกต้องผู้บริโภคน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความแข็งแรงของกระดูก โดยเฉพาะเด็กที่กำลังเจริญเติบโตเพราะขาดธาตุแคลเซียมพร้อมทั้งการขาดธาตุอาหารอื่นๆ อีกหลายชนิด
จากการสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้เขียนพบว่า เมื่อราว 200,000 ปีในอดีตนั้น มนุษย์ยุคหินอาศัยการรวมตัวกันเป็นนักล่าในแถบเขตศูนย์สูตรและอาฟริกา โดยกินอาหารที่มีพืชผักเป็นหลักราวร้อยละ 70
ตราบจนเมื่อเวลาผ่านไปถึงเมื่อ 160,000 ปีก่อนปัจจุบัน มนุษย์บางส่วนย้ายไปอยู่ในยุโรปและแถบหนาวจึงได้เริ่มเปลี่ยนไปกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลัก ดังนั้นว่าไปแล้วมนุษย์มีการกินอาหารที่หลากหลายต่างกันไปขึ้นกับสภาพภูมิศาสตร์
ซึ่งเป็นตัวตั้งถึงชนิดของอาหารที่หาได้มากกว่าจะระบุว่ามีการกินเนื้อสัตว์เป็นหลักเพียงอย่างเดียว ตราบจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเมื่อราว 10,000 ปีในอดีตที่การเกษตรได้เริ่มเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวเพราะมนุษย์ได้เริ่มตั้งถิ่นฐานอย่างจริงจัง
รูปแบบอาหารจึงเปลี่ยนไปคล้ายในปัจจุบัน ข้อมูลนี้ได้จากบทความเรื่อง What Actually was the Stone Age Diet? ของ J. A. J. GOWLETT ในวารสาร Journal of Nutritional & Environmental Medicine (September 2003) ชุดที่ 13 ลำดับที่ 3 หน้า 143–147
อีกประเด็นหนึ่งที่บทความเรื่องเดียวกันนั้นได้กล่าวอย่างน่าสนใจคือ การที่มนุษย์ยุดหินนั้นปลอดจากโรคภัยที่เกี่ยวเนื่องจากความสบายจนเคยตัว (หมายถึงกลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวพันกับหัวใจ
ซึ่งฝรั่งเรียกว่า CVD ซึ่งย่อมาจาก cardiovascular disease) เพราะความเป็นอยู่ในสมัยนั้นทำให้ต้องออกแรงเป็นประจำเนื่องจากยังไม่มีเครื่องทุ่นแรงต่างๆ จึงทำให้ประมาณได้ว่า “ใครที่หวังผลจากอาหารแบบมนุษย์ยุคหินนั้นจำเป็นต้องปฏิบัติตัวแบบเมื่ออยู่ในยุคหินด้วย”
กล่าวคือ ควรเลิกใช้เครื่องผ่อนแรงต่างๆ ในการทำกิจกรรมใดๆ ในชีวิต เช่น เลิกใช้เครื่องซักผ้า หัดล้างรถเอง เดินไปซึ่งของที่ร้านใกล้บ้าน ฯลฯ เพื่อให้ได้ออกแรงทั้งวัน ไม่ใช่เอาแต่นั่งคอหักเขี่ยสมาร์ทโฟนตลอดเวลา
อีกข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับช่วงอายุของคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นหลักคือ ชาวอินูอิท (Inuit เป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยทางแถบเหนือของโลก เช่น รัฐตอนเหนือของแคนาดา ไปจนถึงแถวไซบีเรีย อะลัสกาและกรีนแลนด์) ในแคนาดาที่กินเนื้อปลาหรือเนื้อแมวน้ำเป็นหลัก (แต่อาหารของอินูอิทไม่ใช่อาหารแบบมนุษย์ยุคหินเพราะขาดผักและผลไม้) แล้วมีชีวิตที่ปลอดจากโรคต่างๆ ที่ฝรั่งทั่วไปเป็นข้อมูลนี้ดูว่ามีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้ต้องการลดน้ำหนักให้เห็นว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นหลักนั้นดูดีจริง แต่ก็มีผู้แย้งว่าเหตุที่ชาวอินูอิทเป็นโรคต่างๆ นั้นน้อยกว่าฝรั่งแคนาดานั้นเพราะมีอายุสั้นกว่าจึงตายก่อนเป็นโรคที่กล่าวถึง
จากข้อมูลที่สืบค้นได้จากสำนักงานสถิติแห่งชาติของแคนาดา (www.statcan.gc.ca เมื่อวันพุธที่ 23 มกราคม 2008) ซึ่งมีบทความเรื่อง Study: Life expectancy in the Inuit-inhabited areas of Canada กล่าวว่า ในปี 1991 นั้นช่วงอายุของชีวิตชาวอินูอิทในแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 68 ปี ซึ่งสั้นกว่าชาวแคนาดาทั่วไป และในช่วงปี 1991 ถึง 2001 นั้น ช่วงอายุของชาวอินูอิทก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นในขณะที่ชาวแคนาดาทั่วไปมีช่วงอายุเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การตัดขาดจากนม ผลิตภัณฑ์นมและธัญพืชนั้นอาจส่งผลให้ผู้บริโภคขาดสารอาหารหลายชนิดเช่น แคลเซียม ไวตามินบีต่างๆ โดยเฉพาะโฟเลตซึ่งมีผลต่อความเป็นปรกติของทารกในครรภ์
อีกทั้งเนื้อสัตว์จากอาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาหมึก หอยนางรมมีคอเลสเตอรอลสูง หากไม่จำกัดปริมาณและกินไม่เลือก โรคหัวใจอาจจะมาเยือนในเวลาไม่นาน (แม้ว่าข้อแนะนำในการกินอาหารของคนอเมริกันล่าสุดนั้นไม่ได้กล่าวถึงอันตรายจากคอเลสเตอรอลแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้กินได้แบบไม่บันยะบันยัง)
ดังนั้นประเด็นที่สำคัญของคนที่ตัดขาดอาหารบางชนิด (เพื่อเข้าร่วมวงไพบูลย์ในการย้อนยุคไปสู่การเป็นมนุษย์ยุคหิน) นั้น จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับอาหารแลกเปลี่ยน (Food exchange) เพื่อทดแทนอาหารต้องห้ามด้วยอาหารที่ระบุว่าให้กินได้แบบมนุษย์ยุคหิน มิเช่นนั้นผู้บริโภคอาจเป็นโรคหลายชนิดเนื่องจากการขาดสารอาหารบางประเภทได้
ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านได้พบปะกับผู้ที่ได้เริ่มบริโภคอาหารแบบมนุษย์ยุคหินเข้าแล้ว ก็ขอให้อยู่เฉยเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลซึ่งเราควรสนใจแบบอยู่ห่างๆ แต่ก็สามารถหาประโยชน์ได้จากการเฝ้าสังเกตุว่าสุขภาพโดยรวมของเขาเมื่อเวลาผ่านไปแล้วสักระยะหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร เพื่อเก็บไว้เป็นวิทยาทาน
เครดิตโดย : แอดฟลุ๊ค
โฆษณา