30 มี.ค. 2020 เวลา 10:12 • ประวัติศาสตร์
กงเกวียนกำเกวียน 2 ราชวงศ์เกาหลี : จุบจบโชซอน: เมื่อประวัติศาสตร์ซ้ำรอย (อีกครั้ง)
จุดจบของราชวงศ์โชซอนนั้นก็แทบไม่แตกต่างจากราชวงศ์โครยอมากนัก จบลงจากการถูกคุกคามโดยชาวต่างชาติในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดๆ จากปัญหาการแตกแยกจากภายใน คอรัปชั่น และ อำนาจกษัตริย์อ่อนแอถึงขีดสุด
นับตั้งแต่พระเจ้าช็องโจ (Jeongjo) กษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่มีพระราชอำนาจและปรีชาสามารถได้สวรรคตลงเมื่อ ปี1800 (พ.ศ.2343) อำนาจกษัตริย์ที่เคยมีก็ถูกโอนไปสู่ตระกูลของพระมเหสีและพันปีโดยเฉพาะตระกูลคิมแห่งอันดงที่ผูกขาดตำแหน่งขุนนางทั้งระดับสูงไปจนถึงระดับล่าง ทำให้กษัตริย์กลายเป็นหุ่นเชิดและเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ให้แก่เหล่าตระกูลขุนนาง กับพรรคพวกของตนเองในฐานะตราปั้มรับรองความถูกต้อง ทำให้เกิดการทุจริตไปทุกหย่อมหญ้า บ้านเมืองอ่อนแอถึงสุดขีด จนกระทั่งกษัตริย์หุ่นเชิด พระเจ้าซอลจง (King Cheoljong) ได้เสด็จสวรรคตโดยไม่มีทายาท ทำให้ลีมยอง (Yi Myeong-bok) หรือรู้จักในนามหลังการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ว่า พระเจ้าโคจง ( King Kojong)ในวัย11 ขวบถูกรับเลือกโดยพระนางซินจ็อง (Queen Shinjeong) ตระกูลโจแห่งพุงยาง ผู้ทรงอาวุโสที่สุดในราชสำนักขณะนั้น ในฐานะเครื่องมือในการกำจัดตระกูลคิมแห่งอันดง โดยมีองค์ชายแทว็อนกุน (Daewongun ) พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการและเป็นผู้นำ องค์ชายแทว็อนกุนได้ใช้ข้ออ้าง เรื่องต้องการกำจัดคอรัปชั่นที่ฝังรากลึกมานาน และต้องการปฏิรูปประเทศไปสู่ความทันสมัยในการกำจัดตระกูลคิมและพรรคพวกลง และขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในราชสำนักแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มขั้วอำนาจใหม่นี้ขึ้นมามีอำนาจก็แทบไม่ต่างจากขั้วอำนาจเก่ามากนัก หนำซ้ำยังพาดิ่งลงเหวลงไปหนักกว่าเดิมเสียอีก ซึ่งเป็นเพราะเจตนาที่แท้จริงขององค์ชายแทว็อนกุนไม่ได้มีใจในการปฏิรูป แต่ที่แท้จริงแล้วทุกอย่างที่ทำไปนั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการแย่งชิงอำนาจที่ควรเป็นของเชื้อพระวงศ์กลับมาเพียงเท่านั้น งบที่ควรใช้ปฏิรูปก็นำมาปนเปรอเชื้อพระวงศ์กับขุนนาง (คุ้นๆไหมครับเหมือนบางประเทศ ) จนกลายมาเป็นช่องทางทำให้มหาอำนาจที่เกิดขึ้นใหม่อย่างประเทศญี่ปุ่นเข้ามาโจมตีนั่นเอง ในขณะที่โชซอนกำลังแย่งชิงอำนาจกันเอง และเต็มไปด้วยขุนนางหัวโบราณผู้เห็นแก่ตัว ไม่มีความสามารถ ตรงข้ามกับทางญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยขุนนางที่มีความสามารถหัวสมัยใหม่ และมีความสามัคคี ทำให้ญี่ปุ่นใช้เวลาเพียงแค่10ปี ก็สามารถทำให้ญี่ปุ่นขึ้นกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเซียตะวันออกได้สำเร็จด้วยการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration 1868-1912) ในปี1875 หลังจากพระเจ้าโกจงขึ้นมามีอำนาจได้1ปี หลังจากที่พระราชบิดาของพระองค์ถูกบังคับให้เกษียณลงจากอำนาจ ทางญี่ปุ่นได้ส่งราชฑูตมาบังคับให้โชซอนเปิดประเทศ นับได้ว่าเป็นหลายร้อยปีที่อาณาจักรแห่งนี้ได้ปิดตัวเองอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด ทำให้ไม่ได้รับสิ่งใดใหม่ๆเลย ไม่แปลกนักที่ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยคนหัวโบราณจำนวนมาก จนถูกขนานนามจากชาติยุโรปว่า อาณาจักรฤๅษี(The Hermit Kingdom)
2
ด้วยสาเหตุที่อาณาจักรแห่งนี้ปิดตัวมานานทำให้ทางโชซอนรู้จักเพียงแค่ว่าราชวงศ์ชิงคือมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุด ส่วนญี่ปุ่นที่มาขอบังคับให้เปิดประเทศเป็นเพียงประเทศเล็กๆที่ด้อยพัฒนาเท่านั้น จึงได้ปฏิเสธไป ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจได้ส่งกองทัพเรือมาบุกยึดเกาะคังฮวา (Ganghwa Island) ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพญี่ปุ่นที่ทันสมัยกว่าทำให้โชซอนได้พ่ายแพ้ลงโดยง่ายและถูกบังคับให้เปิดประเทศ ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาญี่ปุ่นก็ได้เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในอาณาจักรแห่งนี้
1
พระเจ้าโคจงถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอทางด้านจิตใจและความสามารถพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ เพราะพระองค์ถูกเลี้ยงมาให้เป็นเพียงหุ่นเชิดของพระราชบิดาที่แม้มีความสามารถ แต่เป็นคนบ้าอำนาจเห็นแก่ตัว หัวโบราณ และวิสัยทัศน์คับแคบ ทำให้พระองค์ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีมากนัก ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีพระมเหสีที่เฉลียวฉลาด และซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์และอาณาจักรนามพระราชนีมย็องซ็อง หรือราชินีมิน (Queen Myeongseong) คอยเป็นที่ปรึกษาและมันสมองให้กับพระองค์
หลังจากความพ่ายแพ้ที่มีต่อญี่ปุ่น พระราชินีมินเห็นโอกาสในการพัฒนาประเทศให้มีความทันสมัย จึงได้มีการจ้างชาวญี่ปุ่นมาพัฒนากองทัพให้มีความทันสมัยและในขณะเดียวกันพระนางก็พยายามผูกมิตรกับราชวงศ์ชิงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับญี่ปุ่น แต่การสร้างกองทัพกลุ่มใหม่ขึ้นมา นั้นสร้างความไม่พอใจแก่กองทัพกลุ่มเก่าที่ไม่ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมจากพระราชากับพระราชินีเป็นอย่างมาก จึงได้บุกยึดพระราชวังและเข้าทำการสังหารทหารกลุ่มใหม่ จนทำให้พระราชากับพระราชินีต้องหลบหนีไป ต่อมาราชินีมินได้ส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิงก็ได้ส่งทหารมาและได้รับชัยชนะในที่สุด กบฏครั้งนี้ถูกเรียกว่ากบฏปีอีโม ( Imo Incident)
จากการกบฏครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของอำนาจของพระราชาเป็นได้อย่างดี เพราะพระองค์ไม่ได้มีกองทัพให้การสนับสนุนเหมือนครั้งที่นายพลลีซองเกเคยได้รับจนสามารถก่อตั้งราชวงศ์นี้ขึ้นมาได้รวมถึงการที่พระองค์มีขุนนางและขุนศึกที่มีความสามารถอีกด้วย ทำให้พระเจ้าโคจงไม่มีอำนาจและความสามารถในการปราบกบฏในครั้งนี้ และกบฏที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อๆไปอีกด้วย จนต้องไปพึ่งพากองทัพจากราชวงศ์ชิง ไม่ว่าจะเป็น การยึดอำนาจปีคัปชิน (Gapsin Coup) นำโดยขุนนางฝ่ายก้าวหน้าหัวรุนแรง ที่ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นให้มายึดอำนาจ และ การปฏิวัติของชาวบ้านลัทธิทงฮัก (Donghak Peasant Revolution)ในปี1894 โดยลัทธินี้ปลูกฝังคำสอนเกี่ยวกับเรื่องความเท่าเทียมในสังคมและสิทธิมนุษยชน ทำให้เป็นที่ถูกใจของชาวบ้านที่ถูกกดขี่มานานจากการปกครองของราชสำนัก ได้ลุกฮือขึ้น แต่ว่าการที่ราชวงศ์ชิงได้มาช่วยถือได้ว่าได้ละเมิดสนธิสัญญาที่ได้เคยทำกับญี่ปุ่นหลังจากจบศึกการยึดอำนาจปีคัปชินในปี1885 ว่าจะไม่ส่งกองกำลังทหารเข้าแทรกแซงการเมืองของเกาหลี เว้นแต่จะเป็นไปเพื่อป้องกันทรัพย์สินและบุคคลของชาติตนเอง เป็นผลทำให้เป็นสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) โดยผลก็คือราชวงศ์ชิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และหมดอิทธิพลในโชซอนไปในที่สุด ทำให้โชซอนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว แต่ว่าถึงกระนั้นเกาหลีก็ยังไม่ได้หมดสิ้นหนทาง เพราะพระราชินีมินเล็งหาชาติมหาอำนาจใหม่มาผูกมิตรนั่นคือ จักรวรรดิรัสเซีย
อย่างไรก็ตามถึงแม้พระนางจะพยายามผูกมิตรกลับมหาอำนาจใหม่ รวมถึงพยายามปฏิรูปประเทศ แต่อิทธิพลจากญี่ปุ่นนั้นนับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่การเปิดประเทศ จากการที่ญี่ปุ่นคอยติดสินบนต่อเหล่าขุนนางโชซอนให้เข้าข้าง และ ชัยชนะของญี่ปุ่นที่มีต่อราชวงศ์ชิงอย่างหมดรูป ส่งผลทำให้ญี่ปุ่นมีอำนาจบาตรใหญ่ถึงขั้นสามารถสั่งฆ่าพระราชินีของอาณาจักรได้โดยไม่สามารถเอาความผิดได้ และพระราชาผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะเกรงกลัวอำนาจที่เหนือกว่าของญี่ปุ่น เหมือนกับสิ่งที่นายพลลีซองเกได้เคยครอบครองอำนาจที่เหนือกว่าแล้วใช้อำนาจกดขี่ราชวงศ์โครยอ
จากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีผู้ภักดี ซึ่งเป็นผู้ค้ำจุนอาณาจักรโชซอนแห่งนี้ไม่ให้ตกเป็นของญี่ปุ่นในปี1895 ได้ทิ้งภาระอันหนักอึ้งให้กับพระราชาผู้ไร้ซึ่งความสามารถต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่นายพลลีซองเกได้สั่งให้สังหารขุนนาง จองมงจู ผู้ภักดีและทรงอิทธิพลคนสุดท้ายของราชวงศ์โครยอ ทำให้บ้านที่ปราศจากเสาค้ำจุนก็พังทลายลงมา โชซอนเองก็เช่นกัน เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาครอบงำอาณาจักรอย่างเบ็ดเสร็จ โดยทางญี่ปุ่นได้ให้ขุนนางเกาหลีที่เป็นฝ่ายตนผลักดันการปฏิรูปกาบอง (The Gabo reforms) ที่เริ่มในปี1894 โดยมีจุดประสงค์เพื่อกลืนกินประเทศนี้ ทำให้การปฏิรูปครั้งนี้เป็นการปฏิรูปที่รุนแรงชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะได้มีการยกเลิกธรรมเนียมเก่าแก่มายมาย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หรือ การไว้ทรงผม ให้กลายเป็นการแต่งกายให้เหมือนชาติตะวันตก และยกเลิกระบบชนชั้น แต่การปฏิรูปครั้งนี้ล้มเหลว สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนกับชนชั้นสูงหัวโบราณที่รับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง ทำให้ประชาชนทั่วประเทศลุกฮือต่อต้าน
ในขณะที่พระเจ้าโคจงหลังจากราชินีมินสิ้นพระชนม์ลงทรงก็เกรงว่าพระองค์จะถูกญี่ปุ่นฆ่าจึงได้ทรงหลบหนีไปอยู่ที่สถานฑูตรัสเซีย พันธมิตรใหม่ของพระองค์ให้คุ้มครองพระองค์ เป็นเวลากว่า1ปี โดยที่ทรงไม่มีส่วนร่วมในการปฏิรูปกาบองที่เกิดขึ้นมาแม้แต่น้อย
ประชาชนทั่วประเทศที่ลุกฮือต่อต้านญี่ปุ่นจึงรวมตัวกันเป็นสมาคมเอกราช รบเร้าให้พระเจ้าโกจงทรงกลับมาต่อต้านอิทธิพลของญี่ปุ่น พระเจ้าโกจงทนเสียงรบเร้าไม่ไหวจึงกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ทรงได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิรัสเซีย ทำให้พระองค์ยกตัวเองจากตำแหน่งกษัตริย์เป็นจักรพรรดินามว่า ควางมู (Emperor Gwangmu) แห่งจักรวรรดิเกาหลี ในปี1897 และเริ่มต้นการปฏิรูปกวางมูขึ้น (Gwangmu Reform) การปฏิรูปนี้เป็นการปฏิรูปที่เหมือนอันก่อนหน้าแต่มีความดุดันที่น้อยกว่าและค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่การปฏิรูปครั้งนี้ก็ยังไม่ทันบรรลุผลสำเร็จ รัสเซียที่เป็นประเทศคุ้มครองและเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการพัฒนาจักรวรรดิ ก็ได้แพ้สงครามกับประเทศญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)ในปี1905 ทำให้รัสเซียถอนตัวจากการคุ้มครองเกาหลี และตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นในฐานะรัฐอารักขาตามสนธิสัญญาอึลซา (Eulsa Treaty) ที่ทางญี่ปุ่นบังคับให้ทางรัฐมนตรีของจักรวรรดิเกาหลีเซ็นลงโดยที่จักรพรรดิไม่ยินยอม จากจุดนี้เองทำให้สถานะของจักรพรรดิควางมูก็แทบไม่ต่างจากกษัตริย์โครยอ 2 พระองค์สุดท้ายที่ถูกกดขี่ด้วยอำนาจของนายพลลีซองเกที่ครอบครองกองทัพทั้งประเทศ และมีสมัครพรรคพวกจำนวนมาก จนกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่มีอำนาจใดๆ ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองจักรวรรดิของตนล่มสลายไปอย่างช้าๆ ขุนนางที่เคยจงรักภักดีก็ค่อยๆถูกกำจัดลงไปเรื่อยๆ และถูกแทนด้วยขุนนางที่เป็นฝ่ายญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่น
แต่ว่าจักรพรรดิควางมูก็ไม่ยอมแพ้ ทรงแอบส่งทูตไปยังการประชุมอนุสัญญากรุงเฮกในปีพ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากการกระทำของญี่ปุ่นในสภาโลก แต่อนิจจัง บรรดามหาอำนาจทั้งหลายไม่ยอมรับโชซอนเป็นรัฐเอกราช และไม่ยอมให้ผู้แทนโชซอนเข้าร่วมการประชุม เป็นผลทำให้ญี่ปุ่นอับอายและใช้ข้ออ้างปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์แล้วตั้งพระราชโอรสของพระองค์เป็นจักรพรรดิซุนจง (Sunjong) ในฐานะเครื่องมือถ่วงเวลาในการกลืนกินอาณาจักรแห่งนี้ให้สมบูรณ์ เมื่อเวลานั้นมาถึงญี่ปุ่นได้บีบบังคับให้พระองค์เซ็น สนธิสัญญาญี่ปุ่น–เกาหลี (Japan–Korea Annexation Treaty 1910) แต่พระองค์ปฏิเสธไม่เซ็น ถึงกระนั้นก็ไร้ประโยชน์สำหรับจักรพรรดิที่ ทั้งไร้อำนาจ ไร้บารมี และไร้ผู้สนับสนุน สัญญาฉบับดังกล่าวก็ถูกเซ็นโดยขุนนางเกาหลีฝ่ายญี่ปุ่น ชื่อลีวังยน (Ye Wanyong) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำให้ราชวงศ์ที่เกิดขึ้นจากข้ออ้างเรื่องการเข้าข้างชาติมหาอำนาจ มาใช้ในการรัฐประหาร ทรยศและล้มราชวงศ์เก่าทิ้ง ได้ล่มสลายเพราะเรื่องการเข้าข้างมหาอำนาจเช่นเดียวกัน ไม่ว่าพระเจ้าโคจงจะพยายามจะหาประเทศมหาอำนาจมาปกป้องอาณาจักรของตนแค่ไหน สุดท้ายประเทศเหล่านั้นก็ต้องเดือดร้อน พ่ายแพ้ศึกจนต้องถอนตัวออกไปทุกครั้ง ทำให้อาณาจักรของพระองค์รวมถึงตัวพระองค์เองถูกทิ้งกลางทางให้โดดเดี่ยวดายโดยไม่มีประเทศไหน ยื่นมือเข้ามาช่วย นี่ละหนอกฎแห่งกรรมที่ต้นตระกูลเคยทำไว้ แต่ลูกหลานก็ต้องเป็นผู้รับเคราะห์แทน
สุดท้ายนี้ทั้ง2 ราชวงศ์เกาหลีที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหารด้วยกำลังทหาร และการมีสมัครพรรคพวกเยอะ ของต้นตระกูล ก็มีจุดจบที่คล้ายคลึงกัน ลูกหลานที่ไร้ความสามารถถูกรัฐประหาร และ มีชีวิตที่ถูกกดขี่กดดัน จากผู้ที่มีอำนาจบารมีที่เหนือกว่า สุดท้ายลูกหลานก็ถูกฆ่าล้างตระกูล แต่ว่าลูกหลานของนายพลลีซองเกนั้นโชคดีกว่ามากนัก ไม่ถูกฆ่าล้างตระกูล แต่มีชีวิตเป็นในฐานะตัวประกันอยู่ที่ญี่ปุ่น เปรียบเสมือนถูกขังในไว้ในกรงนกทองคำที่ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจชอบ ถึงกระนั้นเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ในปัจจุบันก็ได้รับการปลดปล่อยและมีลูกหลานสืบต่อแต่ว่าลูกหลานของพวกเขาเหล่านั้นได้กลายมาเป็นสามัญชนหมดแล้ว
1
โฆษณา