30 มี.ค. 2020 เวลา 12:05 • ประวัติศาสตร์
พูดกับฮานส์
หากเอ่ยชื่อของ ฮานส์ สชาฟ ในทำเนียบนายทหารเยอรมันยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 คงเป็นสิ่งที่ยากแก่การรำลึกถึง เพราะจอมพล นายพล และนายทหารคนอื่นๆที่ได้สร้างชื่อเสียงจากผลงานการวางแผนการรบ และการรบไว้มากมายเกินกว่าจะมีชื่อของเขาเข้าไปร่วมอยู่ได้
จ่าตรีฮานสฺ สชาฟ ไม่ใช่นายทหารและไม่ใช่ทหารที่รบอยู่ในแนวหน้าสุดของยุทธภูมิต่างๆ แต่เขานั้นมีหน้าที่อยู่ในแนวหลัง และงานของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ทหารพันธมิตรเกรงกลัวที่สุด
สชาฟ เกิดที่ ราสเทนแบร์ก ปรัสเซียตะวันออกในปี 1907 เป็นบุตรคนที่ 2 จากทั้งหมด 3 คน พ่อของเขาเป็นนายทหารในกองทัพและเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1917 โชคดีที่สถานะการเงินของครอบครัวเขาจัดอยู่ในฐานะที่มั่นคงพอสมควร พ่อของเขาแม้จะเสียชีวิตในสงคราม แต่แม่ก็มีธุรกิจสิ่งทอที่ดำเนินธุรกิจมาจากคุณตา
เยอรมันยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือสิ่งที่บีบให้ทุกคนต้องปากกัดตีนถีบ เมื่อสชาฟ เรียนจบและโตพอจะช่วยงานได้เขาก็มาร่วมช่วยเหลืองานในธุรกิจครอบครัวด้วยการเสนอขายสิ่งทอที่โรงงานเขาผลิต เขาเรียนรู้ในการจัดการ การผลิต และการขายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งดูแล้วชีวิตของเขาก็ไม่น่าจะมาข้องเกี่ยวอะไรกับกองทัพหรือการทำสงคราม เขาควรดูแลกิจการและขยายธุกิจครอบครัวต่อไป
โชคดีที่ธุรกิจของครอครัวเขาไปได้ดี นั่นจึงทำให้มีการเปิดสาขาที่เมืองโยฮานเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ นั่นจึงทำให้หนุ่มสชาฟ เดินทางไปที่นั่นและดูแลธุรกิจครอบครัว และเขาอยู่ที่นี่นานถึง 10 ปี จนพบรักกับสาวชาวอังกฤษมากาเร็ต สโตรก ซึ่งเธอเป็นบุตสาวของนายทหารอากาศอังกฤษ เรืออากาศเอกคลาว สโตรก นักบินของรอยัลแอร์ฟอร์ซ ที่ประจำการอยู่ใน โรดีเซีย
ช่วงฤดูร้อนปี 1939 เขาพาครอบครัวเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่เยอรมัน และนั่นเองที่ทำให้เขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพบกเยอรมัน และเข้าค่ายฝึกกระทั่งถูกส่งไปรบในแนวรบรัสเซีย การมาเที่ยวเยอรมันในครั้งนี้กลับกลายเป็นการจากลาภรรยาและลูกน้อยทั้ง 3 คนของเขา ซึ่งในตอนนั้นสมรภูมิรัสเซียก็กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ นั่นเป็นสิ่งที่ มากาเร็ต สโตรก ภรรยาสุดที่รักของเขาทนไม่ได้ที่เห็นสามีของเธอตายอยู่ในดินแดนอันห่างไกลของรัสเซีย
1
คุณนายสโตรก เธอรวบรวมเงินและความกล้า เดินทางไปที่กรุงเบอร์ลินเพื่อขอเข้าพบนายพลเยอรมันคนสำคัญที่ดูแลรับผิดชอบการรบในรัสเซีย เธอใช้เงินติดสินบนนายทหารติดตามของนายพลเหล่านั้นเพื่อขอเข้าพบ คนแล้วคนเล่าที่เธอเข้าพบเพื่อพูดโน้มน้าวให้ย้ายสามีของเธอไปทำหน้าที่อื่นๆในกองทัพที่ไม่ใช่การรบในแนวหน้า เธอให้เหตุผลว่า สามีของเธอนั้นสามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี และเขาสามารถช่วยเหลือกองทัพได้ดีจากความรู้ด้านภาษาของเขา
ทั้งเหตุผลและของขวัญพิเศษในการเข้าพบนายทหารของกองทัพเยอรมัน ก็ช่วยทำให้สามีของเธอถูกย้ายไปทำหน้าที่ใน "ล่าม" ที่เมืองไมนส์ในที่สุด
สงครามทางอากาศเหนือแผ่นดินเยอรมัน ในป 1943 ทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น เมืองต่างๆของเยอรมันและพื้นที่ในเขตยึดครองถูกทิ้งระเบิด ซึ่งแน่นอนว่ามีเครื่องบินพันธมิตรทั้งของอเมริกันและอังกฤษ ถูกยิงตกเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ตามก็คือ เชลยศึกทหารอากาศพันธมิตรที่ถูกจับได้ เชลยศึกหลายคนถูกจับและก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไปค่ายเชลยศึกนั้น พวกเขาจะต้อง "ถูกสอบปากคำ"
2
การสอบปากคำเชลยศึก เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความอดทนกว่าที่บรรดาเชลยเหล่านี้จะปริปากพูดบางอย่างที่อาจเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก เชลยสงครามมักจะพูดเป็นประโยชน์เดิมๆด้วยการบอกเพียงแค่ ชื่อ กับ ยศ ของตัวเองเท่านั้น
บ่อยครั้งที่การสอบปากคำเริ่มต้นด้วยการนั่งคุยแต่จบลงด้วยเลือดละเลงพื้น หรือ เชลยที่เข้ามาถูกหามออกไปอันมาจากผลพวงของการทรมานเพื่อให้พูดในสิ่งที่ผู้สอบปากคำต้องการจะรู้ และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเชลยศึกที่เข้ามาในห้องนี้จะเข้ามาแบบมีชีวิต และออกไปจากห้องนี้โดยหมดลมหายใจ สนธิสัญญาใดๆคงจะไร้ความหมายเมื่อวินาทีของความเป็นความตายระหว่างคนถามและคนตอบในห้องสี่เหลี่ยมแห่งโชคชะตานี้เริ่มขึ้น
กองทัพอากาศเยอรมันทำหน้าที่สอบปากคำเชลยสงครามจำนวนมาก พวกเขามีเชลยศึกถูกส่งมาทุกวันแต่บุคลากรที่มีอยู่นั้นก็น้อยมาก แม้กองกำลังเอสเอสจะพยายามเข้ามาเสนอตัวช่วยในการสอบปากคำเชลยสงคราม แต่พวกเอสเอสก็มักจะทำเสียเรื่องมากกว่าได้เรื่อง เพราะอุดมการณ์ของพวกเขาเองนั่นจึงทำให้ชื่อของ สชาฟ ได้รับการเสนอให้มาทำหน้าที่นี้ และนั่นจึงทำให้เขาย้ายจากทหารบก มาเป็นทหารอากาศ และติดยศใหม่เป็น "จ่าตรี"
1
สชาฟ ทำหน้าที่แปลภาษาร่วมกับนายทหารที่ทำหน้าที่สอบปากคำ เขาเฝ้าดูวิธีการและขั้นตอนที่ทหารเยอรมันสอบปากคำเชลยสงครามแล้วมันทำให้เขารู้ว่า แม้ทหารพันธมิตรจะยอมอ้าปากพูดบางอย่างออกมาหลังจากถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ แต่มันคือการพูดเพื่อให้ยุติความเจ็บปวด และฝ่ายเยอรมันเองก็จะเสียเวลาไปกับการทรมานคนเพื่อให้ได้ยินเรื่องโกหก
เขาเสนอให้ปรับเปลี่ยนวิธีสอบปากคำเสียใหม่ และทำให้การสอบปากคำกลายเป็น "การสนทนาแบบผ่อนคลายระหว่างคนสองคน" สชาฟ จึงกลายมาเป็น ล่าม และ ผู้สอบปากคำโดยที่ตนเองนั้น ไม่เคยได้รับการฝึกเรื่องการสอบปากคำจากที่ใดมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกอย่างที่เขากำลังทำนี้คือสิ่งที่เขาเฝ้าดูเฝ้าจดจำ และประเมินมันด้วยตัวเขาเองทั้งสิ้น
2
เทคนิคในการสอบปากคำของเขาก็คือ จะไม่มีการทำร้ายร่างกาย การบังคับขู่เข็ญดูหมิ่นใดๆทั้งสิ้น จนทำให้หลายคนสงสัยว่าและกังขาว่าเขากำลัง ใจอ่อนต่อข้าศึกจนเกินไปหรือเปล่า? เพียงเพราะภรรยาของเขาเป็นคนเชื้อชาติของศัตรูเลยทำให้เขาเกิดความสงสารและเห็นใจคนพวกนี้หรือ?
2
เทคนิคของ จ่าตรีฮานส์ สชาฟ ในการสอบปากคำก็คือ
1. เขาสร้างภาพลวงตาทุกอย่างเพื่อลวงให้เชลยศึกเชื่ออย่างสนิทใจว่า "พวกเรารู้แล้วทุกอย่างเกี่ยวกับพวกคุณ" นั่นจึงทำให้เชลยส่วนใหญ่มักเชื่อว่าผู้สอบสวนรู้ทุกอย่างแล้วและเขาไม่มีอะไรจะเสียและยอมที่จะตอบคำถาม
1
2. เขาใช้การสนทนาที่เป็นมิตรและทำบรรยากาศให้ผ่อนคลายในการสนทนา และไม่ทำให้เชลยสงครามคิดว่าเขากำลังถูกสอบปากคำ แต่เขากำลังคุยอยู่กับเพื่อนใหม่ชาวเยอรมัน
3. เขาไม่รีบเร่งที่จะถามข้อมูลใดๆจากเชลยศึกแต่ปล่อยให้บรรยากาศและความตึงเครียดลดลงก่อน
1
4. เขารับฟังข้อมูลทุกอย่างจากเชลยศึกเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยมายืนยันในภายหลัง
5. เขามักจะทำทีว่าไม่สนใจเมื่อเชลยศึกพูดเกี่ยวกับข้อมูลการทหารของฝ่ายตนเอง แต่ทำทีเป็นสนใจเรื่องราวชีวิตของเชลยในช่วงก่อนสงคราม
สชาฟพัฒนาเทคนิคหลายอย่างที่ช่วยเขาในการสอบสวน เขาเสนอให้ความช่วยเหลือและให้ในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ในห้องสอบปากคำเชลยที่เขาทำหน้าที่กลับเป็นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ขวดเหล้าและควันบุหรี่จากการดื่มอย่างเมามายกับเชลยศึก หรือแม้กระทั่งให้โสเภณีเข้ามาบริการเชลยศึกจนเสร็จกิจเสียก่อนแล้วสชาฟจึงกลับมาพูดคุย ไม่เพียงแต่ทหารอากาศของฝ่ายพันธมิตรเท่านั้น เชลยศึกทหารบกก็ถูกส่งมาให้เขาสอบปากคำเช่นกัน
จิตวิทยา ของสชาฟ คือการเข้าใจถึงพื้นฐานความเป็นมนุษย์มากที่สุด ทหารที่จากบ้านมาไกล แล้วกลับต้องมาเดียวดายอยู่ในดินแดนข้าศึกเพียงลำพัง ความรู้สึกเดียวที่มีและมันเต็มอยู่ในอกของเชลยศึกพวกนี้ก็คือ "ความกลัว" และชีวิตการเป็นเชลยสงครามที่อยู่ในกำมือของข้าศึกหาความแน่นอนใดๆไม่ได้ เป็นสภาพที่ไม่มีผู้ใดปราถนา และนั่นจึงทำให้สชาฟมองเห็นโอกาสที่เขาจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ในการทำให้เชลยบอกข้อมูลต่างๆที่เขาต้องการโดยที่ตัวเชลยเองก็ไม่รู้ตัว
1
ทักษะเหล่านี้ทำให้เขาสามารถล้วงข้อมูลสำคัญจากเชลยโดยไม่ต้องใช้กำลังหรือการบีบบังคับ นอกจากนี้เขาเก่งในการปกปิดท่าทีความต้องการของตนเองในการสนทนาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เขาต้องการ เชลยศึกมักเชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเขาไม่ได้พูดหรือบอกข้อมูลใดๆกับสชาฟ เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเชลยเชื่ออย่างนั้นนั่นก็เพราะว่า เขากำลังคุยกับทหารเยอรมันยศต่ำ เพียงแค่ยศ "จ่าตรี" เท่านั้น (สชาฟจะใส่เครื่องแบบทหารเข้าไปสอบปากคำด้วยตนเอง) หาใช่นายทหาร หรือ พวกเกสตาโป หรือ เอสเอส แต่อย่างใด และภาษาอังกฤษที่พูดออกมาจากปากของเขา สำเนียงของมันชัดเจนราวกับว่าเขาคือคนอังกฤษ
4
แน่นอนสชาฟเขาไม่ได้ทำงานนี้เพียงลำพัง หนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในที่ทำงานร่วมกับเขาในการรวบรวมข้อมูลก็คือสุภาพสตรีนามว่า เฟรา บีฮ์เลอร์ เธอเป็นที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำของสชาฟ และด้วยข้อมูลที่เธอได้มานั้น มันจึงทำให้เยอรมันทราบได้ว่าเชลยคนนี้เป็นทหารจากประเทศอะไร หน่วยที่ประจำการอยู่ที่ใด ชื่อ นามสกุล, เหรียญตรา, จดหมาย, เอกสารแสดงตนที่ปลอมแปลงขึ้นโดยกองกำลังใต้ดิน, ภาพถ่าย, และอื่นๆที่สำคัญอีกมากมาย พวกเขาสามารถทราบได้ว่าเชลยศึกคนนี้ มาจากที่ใด เขาเป็นนักบินขับไล่หรือทิ้งระเบิด รวมทั้งประเภทของเครื่องบิน
1
หนึ่งในเชลยศึกที่สชาฟเคยสอบปากคำ เขาคนนั้นคือ พันโทฟรานซิส เก็บบี้ การเบรสกี้ เสือากาศอเมริกันคนสำคัญในสมรภูมิยุโรป ก่อนจะมาสอบปากคำนั้นสชาฟรู้เรื่องของยอดนักบินอเมริกันคนนี้ดี เขา แสดงความเคารพและยินดีมากที่ได้พบกับนายทหารอเมริกันคนนี้ นอกจากนี้ยังมีนายทหารคนอื่นๆของกองทัพสหรัฐก็เคยผ่านการสอบปากคำจากเขามาแล้วอาทิเช่น พันโทโรเบิร์ต เซมเคอ, พันตรีดอน บีสัน,ร้อยเอกจอน กอดฟรีย์, พันโทชาร์ล สตาร์ก ทั้งหมดเคยถูก "จ่าตรีเยอรมันหลอกให้พูดโดยไม่รู้ตัว"
1
ความสามารถของสชาฟจึงกลายเป็นที่เลื่องลือในกองทัพเยอรมันอย่างมากเพราะมันเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนตั้งรับการโจมตีของพวกเขา ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรก็ทราบดีว่าเยอรมันมีเทคนิคในการสอบปากคำโดยพวกเขาเข้าใจว่านี่คงเป็น หมอด้านจิตวิทยา หรือ ศาสตราจารย์ด้านนี้โดยตรงจึงสามารถทำให้เชลยยอมปริปากพูดได้ นั่นจึงทำให้ฝ่ายพันธมิตรย้ำเป็นหนักหนาให้ทหารของตนเองว่า หากจำต้องโดยร่มลงดินแดนข้าศึก พวกเขาต้องหนีเพราะพวกเยอรมันมีศาสตราจารย์ด้านการสอบปากคำที่ให้พวกเขาคายความลับทางทหารได้ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของ "จ่าตรี อดีตเซล์แมนขายผ้า"
เมื่อสงครามยุติสชาฟมอบตัวกับทหารอเมริกัน และด้วยวิธีสอบปากคำแบบสบายๆของเขาทำให้นายทหารอเมริกันและอังกฤษที่เคยถูกเขาสอบปากคำ ช่วยนำเขาออกจากค่ายเชลยและทำเรื่องให้เขาได้ไปตั้งรกรากใหม่ที่อเมริกาในปี 1948 และที่นี่เองเขาใช้เวลาเขียนเรื่องราวการทำงานของตนเองในช่วงสงครามลงในนิตยสารที่ชื่อ อาโกซี่ Argosy Magazine นั่นจึงทำให้กองทัพสหรัฐทราบเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นและเชิญให้เขามาอธิบายถึงวิธีการต่างๆที่เขาทำและเป็นคู่มือในการสอบปากคำของกองทัพอเมริกันต่อไป
ฮานส์ สชาฟ ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบและลาโลกนี้ไปในปี 1992 ด้วยวัย 84 ปี
โฆษณา